วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ cristiano ronaldo

               









               คริสเตียโน โรนัลโด (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo) ชื่อเต็มว่า กริชเตียนู รูนัลดู โดช ซันตูช อาเวรู (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวโปรตุเกส ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สวมเสื้อหมายเลข 7 และกำลังจะย้ายไปยังสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มีการจัดอันดับตำแหน่งนักเตะรูปงามแห่งยูโร 2008 จัดทำโดยแอลจี บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า คริสเตียโน โรนัลโดได้รับคะแนนโหวตครั้งนี้เป็นอันดับ 1

ประวัติ
คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรชายของนายชูเซ ดีนิช อาเวรู (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะมีอายุ 52 ปี) กับนางมาเรีย ดูโลริช อาเวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์
ที่มาของชื่อ โรนัลโด นั้น บิดาของเขาเป็นผู้ตั้งให้ โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อของ นายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบุคคลที่บิดาของ โรนัลโด ชื่นชอบ
ครอบครัวของโรนัลโดอาศัยอยู่ที่ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ ซึ่งในตอนเด็กเขาจะชอบเล่นฟุตบอลมาก บริเวณตามถนน พอตอนเขาอายุ 6 ขวบ เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha โดยการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ พอถึงปี พ.ศ. 2538 โรนัลโดย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล

นักฟุตบอลอาชีพ
เมื่ออายุ 12 ปี โรนัลโดได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกสมากมาย โรนัลโด เลือกค้าแข้งกับ สปอร์ติง ลิสบอน ทีมโปรดของตัวเอง จนอายุ 17 ปี โรนัลโด ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติง เป็นครั้งแรก แล้วก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป
โรนัลโดมีจุดเด่นที่มีทักษะในการครองบอลและมีความคล่องตัวสูง ด้วยจุดนี้เอง ทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้สนใจที่จะนำโรนัลโดมาร่วมทีม และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้คว้าตัว โรนัลโด ไปร่วมทีมได้สำเร็จ ด้วยค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2003-2004 โรนัลโด ใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ มิลล์วอลล์ ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04
โรนัลโดกับการพาทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2004 ก่อนพ่ายให้กับ กรีซ
ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโด ก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด
โรนัลโดคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟนๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย
ในศึกฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโด ถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดีโรนัลโดยังคงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เมษายน 2007 คริสเตียโน โรนัลโด คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม และผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ไปครอง โดยเป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน หลังโชว์ฟอร์มสุดยอดมาตลอดฤดูกาลนี้โดยก่อนหน้านี้ แอนดี เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปีก่อน
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยอมรับว่า ได้รับข้อเสนอการซื้อตัวจากสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ปรากฏว่าคริสเตียโนก็มีความต้องการที่จะออกจากคลับเช่นกัน โดยเขาได้ตกลงย้ายออกไป การซื้อตัวครั้งนี้ถือเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก

งานอื่น
ด้วยความสามารถและความโด่งดัง จึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น ภาพลักษณ์ของโรนัลโดสร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่น อีกด้วย นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้ โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโดมีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงได้คุยกับโรนัลโดเพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial Vapor ออกมา

ชีวิตส่วนตัว
พ่อของโรนัลโดเป็นผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ ที่ชื่ออันโดนินญ่า และพ่อเขาขอให้กัปตันทีมที่ชื่อ Fernao Sousa เป็นพ่อทูนหัว ส่วนแม่ของเขามีอาชีพเป็นแม่ครัว โรนัลโดช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดี ช่วยพี่สาวคนโตเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่มาเดร่า ส่วนพี่สาวอีกคน คาเทีย เป็นนักร้อง มีวงดนตรีชื่อ "Ronalda"
โรนัลโดมีข่าวคบหากับ เจมม่า แอตกินสัน นักแสดงสาวชาวอังกฤษ จากละครดัง “โฮลลี่โอคส์” และหลังจากนั้นก็เลิกรากันไป และมีข่าวคบหากับเมอร์เช โรเมโร มานานกว่า 8 เดือน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเลิกรากันในเดือนตุลาคม เมื่อปี 2006[9] ต่อมาก็คบกับนางแบบชาวสเปน เนไรดา กัลยาร์โด[10]และในขณะนี้มีกระแสข่าวว่าโรนัลโดกำลังกิ๊กกับไฮโซสาวจอมฉาว ปารีส ฮิลตัน

ประวัติ Nemanja Vidic



วัน เดือน ปี เกิด 21 ตุลาคม 1981
สถานที่เกิด เมืองอูซิค, เซอร์เบียและมอนเตเนโกร (ยูโกสลาเวีย เดิม)
ส่วนสูง 188 เซนติเมตร
น้ำหนัก 84 กิโลกรัม
ตำแหน่ง กองหลัง
หมายเลขเสื้อ 15
ทีมชาติ เซอร์เบียและมอนเตเนโกร
ลงเล่นทีมชาตินัดแรก เดือนตุลาคม 2002 พบกับอิตาลี
วันที่เซ็นสัญญา 5 มกราคม 2006
ต้นสังกัดเดิม สปาร์ตัก มอสโคว์
ค่าตัวในการย้ายทีม ไม่เปิดเผย (บางแหล่งข่าวคาดว่า 7 ล้านปอนด์)
วันที่หมดสัญญา เดือนมิถุนายน 2010
ต้นสังกัดเดิมอื่นๆ เรด สตาร์ เบลเกรด

จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นในการลงเล่นให้กับทีมชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ปี 2005 จนกระทั่งผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ในปี 2006 ที่เยอรมันได้สำเร็จ จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายสโมสรชั้นนำในยุโรปต่างมาเคาะประตูของสปาร์ตัก มอสโคว์ ถามหากองหลังที่ชื่อเนมานย่า วิดิช

จากการเสียไปเพียงประตูเดียวในรอบคัดเลือก (ราอูล ของสเปนเป็นผู้พังประตูได้) แผงกองหลังของทีมชาติเซอร์เบียฯ จึงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยวิดิช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นดาวเด่นของแผงกองหลังชุดนี้

ในนัดสุดท้ายของฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนยุโรป กลุ่ม 7 ที่ทีมชาติเซอร์เบียฯ เอาชนะทีมชาติบอสเนียฯ ไปได้ 1-0 วิดิช เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ว่าเขาจะได้รับใบแดงถูกไล่ออกจากสนามไปก่อนหมดเวลา 5 นาทีก็ตาม

แม้ว่าสโมสรอย่างลิเวอร์พูล และฟิออเรนติน่า จะแสดงความสนใจออกมา อย่างไรก็ตาม กองหลังวัย 24 ปีรายนี้ทำให้กองเชียร์ปิศาจแดง ทั่วโลกพึงพอใจด้วยการเซ็นสัญญาระยะเวลา 4 ปีย้ายเข้ามาร่วมชายคาโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเดือนมกราคม 2006

ด้วยความสูง 188 เซนติเมตร และสไตล์การเล่นแบบดุดันแข็งแกร่ง ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำวิดิช ไปเปรียบเทียบกับอดีตยอดกองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเช่น สตีฟ บรูซ และยาป สตัม ในช่วงที่มีการเซ็นสัญญากับสโมสร

แต่เมื่อตอนที่มาถึงเมืองแมนเชสเตอร์ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการนำไปเปรียบเทียบดังกล่าว "เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กก็มีนักเตะเก่งๆ หลายคน แต่ที่จริงแล้วผมไม่ได้พยายามเอาอย่างหรือเลียนแบบนักเตะคนใดทั้งนั้น และผมก็ไม่มีนักเตะที่เป็นต้นแบบโดยเฉพาะแต่อย่างใด" เขากล่าว

"ผมพยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง เล่นในสไตล์ของผมเอง และสร้างรูปแบบของตัวเองขึ้นมา"

แม้ว่าอายุยังน้อย วิดิช ก็ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอในตำแหน่งหัวใจสำคัญของแผงกองหลังสปาร์ตัก มอสโคว์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนที่จะย้ายทีมครั้งสำคัญในชีวิตมาสู่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

การได้รับใบเหลือง 12 ใบจากการลงเล่น 30 นัดให้กับสปาร์ตัก มอสโคว์ ในปี 2005 ทำให้วิดิช ได้รับชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่เล่นอย่างฉลาดและมีความ สามารถในการเล่นลูกกลางอากาศที่ดีเยี่ยม

ก่อนการย้ายมาร่วมทีมสปาร์ตัก มอสโคว์ ในเดือนกรกฎาคม 2004 ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ เขาเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพที่สโมสรเรด สตาร์ เบลเกรด ซึ่งในตอนนั้นที่ยังเป็นนักเตะดาวรุ่งอยู่ เขาทำได้ 12 ประตูจากการลงเล่น 67 นัด และยังได้เป็นกัปตันทีมอีกด้วย

เกียรติยศที่เคยได้รับกับอดีตสโมสรต้นสังกัด
ปี 2002 - แชมป์เอฟเอ คัพ ของยูโกสลาเวีย (เรด สตาร์ เบลเกรด)
ปี 2004 - แชมป์ลีก ของเซอร์เบียฯ (เรด สตาร์ เบลเกรด)
ปี 2004 - แชมป์เอฟเอ คัพ ของเซอร์เบียฯ (เรด สตาร์ เบลเกรด)

ประวัติ Luis Nani









ชื่อเต็ม หลุยส์ คาร์ลอส อัลเมด้า ดา คุนญ่า
วันเกิด 17 พฤศจิกายน 1986 

สถานที่เกิด ไปรอา, เคป เวอร์เด้
ส่วนสูง 175 ซม.
น้ำหนัก 69 กก.
ตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรุก
สโมสรเดิม สปอร์ติ้ง ลิสบอน
สัญชาติ โปรตุเกส

หลุยส์ คาร์ลอส อัลเมด้า ดา คุนญ่า หรือที่เรารู้จักกันในชื่อนานี่ มิดฟิดล์ทีมชาติโปรตุเกส เกิดในเมืองไปรอา เมืองหลวงของสาธารณรัฐเคป เวอร์เด้ และครอบครัวของเขาก็อพยพไปตั้งรกรากอยู่ในโปรตุเกส เขาเติบโตขึ้นในเมืองเล็กๆ ชื่ออามาดอร่า ในลิสบอน และเริ่มเตะฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเรียล เดอ มาสซาม่า ซึ่งเป็นทีมที่อยู่นอกเมืองลิสบอน ก่อนจะถูกสปอร์ติ้ง ลิสบอน ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2003

สปอร์ติ้ง ลิสบอน เป็นทีมหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงด้านการปั้นนักเตะที่มีความสามารถโดยเฉพาะใน ตำแหน่งมิดฟิลด์ นับตั้งแต่หลุยส์ ฟิโก้, ซิเมา, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ริคาร์โด้ ควอเรสม่า และตอนนี้ก็เป็นนานี่

หลังจากเล่นในทีมเยาวชนอยู่ 2 ปี เขาก็ได้ขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยอายุเพียง 18 ปี และในปี 2006/07 ที่ผ่านมา เขาก็ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ 29 นัดและทำประตูให้ทีม 5 ประตู รวมกับทีมเขาทำได้ในฤดูกาลก่อนหน้านี้อีก 6 ประตูเป็น 11 ประตูจากการลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ทั้งหมด 70 นัด

สำหรับการลงเล่นให้กับทีมชาตินานี่ ลงเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส นัดแรกในวันที่ 1 กันยายน 2006 ในเกมกระชับมิตรกับเดนมาร์ก และเขาก็สามารถทำประตูได้ในนัดนี้ด้วย

นานี่ เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ที่ลงเล่นฟุตบอลยุโรปในปี 2006 และเขาก็ยังถูกเรียกติดทีมชาติชุดนี้อีกครั้งในปีนี้ด้วย

ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทำให้ไปเตะตา คาร์ลอส คีรอส โค้ชแมนฯ ยูไนเต็ด และเมื่อเรื่องเข้าถึงหูเซอร์ อเล็กซ์ ภาพของนานี่ เล่นคู่กับโรนัลโด้ ในสนาม ก็ผุดขึ้นมาในสมองของผู้จัดการทีมปีศาจแดง และนั่นก็ทำให้เขาได้เซ็นสัญญามาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือนพฤษภาคม 2007 ด้วยค่าตัวประมาณ 14 ล้านปอนด์

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ อันโตนิโอ วาเลนเซีย




ชื่อเต็ม หลุยส์ อันโตนิโอ วาเลนเซีย มอสเคร่า
วันเกิด 4 สิงหาคม 1985
เมืองเกิด Nueva Loja, เอกวาดอร์
ตำแหน่ง กองกลาง, ปีก
ค่าตัว 16 ล้านปอนด์
หมายเลขเสื้อ 25
เข้าร่วมทีม 30 มิถุนายน 2009
ลงสนามนัดแรกให้แมนฯ ยูไนเต็ด 9 สิงหาคม 2009 พบเชลซี

อันโตนิโอ วาเลนเซีย เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีม คาริบ จูเนียร์ ในบ้านเกิด ก่อนเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลของเขากับทีม เอล นาซิอองนาล ในปี 2001 และย้ายมาร่วมทีม บียาร์เรียล ทีมในสแปนิช ลีก ของสเปนในปี 2005 ด้วยสัญญา 5 ปี แต่ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ได้ก่อนถูกปล่อยให้ทีม เรเครติโบ อูเอลบา ยืมตัวไปใช้งาน

วาเลนเซีย เล่นได้ดีทั้งตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง และปีกขวา ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปี 2006 เขาทำผลงานได้น่าประทับใจกับทีมชาติเอกวาดอร์ จนถูกโหวตให้ได้รับรางวัล "ดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของฟีฟ่า" FIFA's Best Young Player Award และในปีเดียวกันเขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี กับวีแกน แอธเลติก ก่อนเซ็นสัญญาซื้อตัวอย่างเป็นทางการในปี 2008

ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อผลงานของเขาได้รับการจับตามองจากทีมใหญ่หลายทีม อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี รวมทั้งเรียล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลา ลีกา สเปน ด้วย แต่ท้ายที่สุดในปี 2009 เขาก็จรดปากกาเซ็นสัญญา 4 ปี ย้ายมาอยู่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์พรีเมียร์ ลีก ด้วยค่าตัวสูงถึง 16 ล้านปอนด์

"เขาเป็นผู้เล่นที่เราเฝ้าติดตามมานานแล้ว ตลอด 2 ปี หลังสุดกับวีแกน เขาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีม และผมเองก็มั่นใจว่าความสามารถของเขาจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมของเราได้ อย่างมาก" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าว

เส้นทางอาชีพของอันโตนิโอ วาเลนเซีย
1999-2001 คาริบ จูเนียร์
2001-2005 เอล นาซิอองนาล ลงสนาม 84 นัด ทำประตู 20
2005-2008 บียาร์เรียล ลงสนาม 2 นัด
2005-2006 เรเครติโบ อูเอลบา (ยืมตัว) ลงสนาม 14 นัด ทำประตู 1
2006-2008 วีแกน แอธเลติก (ยืมตัว) ลงสนาม 37 นัด ทำประตู 1
2008-2009 วีแกน แอธเลติก ลงสนาม 47 นัด ทำประตู 6
2009 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงสนาม 27 นัด ทำประตู 7

ประวัติ ฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ






วันเกิด 1 มิถุนายน 1988
สถานที่เกิด กัวดาลาจารา, เม็กซิโก
ตำแหน่ง ศูนย์หน้า
หมายเลขเสื้อ 14
ย้ายมาร่วมทีม 1 กรกฎาคม 2010
ลงเล่นนัดแรกให้แมนฯ ยูไนเต็ด 8 สิงหาคม 2010 พบกับเชลซี ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์
ทีมชาติ เม็กซิโก

ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เฮอร์นันเดซ ย้ายมาร่วมเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2010 และกลายเป็นนักเตะเม็กซิกัน คนแรกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เฮอร์นันเดซ ย้ายมาจากทีมชีวาส เดอ กัวดาลาจารา ซึ่งเป็นทีมในบ้านเกิดของเขา เขาเริ่มเล่นให้ทีมตั้งแต่ปี 2006 ลงเล่นทั้งหมด 79 นัด ทำประตูให้ทีมได้ 29 ประตู

การเจรจาซื้อตัวเจ้าหนุ่มชิชาริโต้เป็นไปด้วยความเงียบเชียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด มีเพียงสโมสร ตัวนักเตะเอง และพ่อของเขาเท่านั้นที่รับทราบ และทำการเจรจาตกลงกันเรื่องการย้ายทีม แม้แต่สื่อไม่ว่าจะเป็นสื่อในเม็กซิโก หรืออังกฤษ ก็ไม่มีสื่อไหนรู้

"ชิชาริโต้" หมายถึง "ถั่วน้อย" ชื่อนี้มาจากการที่เขาเป็นลูกชายของฮาเวียร์ เฮอร์นันเดซ ศูนย์หน้าเม็กซิกันผู้โด่งดัง และมีชื่อในทีมชาติเม็กซิกันชุดสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1986 และเฮอร์นันเดซ ผู้พ่อ ก็มีฉายาว่า "ชิชาโร" หรือที่แปลว่า "ถั่ว" เพราะว่าเขามีดวงตาสีเขียว

ด้วยความเป็นศูนย์หน้าที่มีความคล่องแคล่ว ชิชาริโต้ เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง สามารถเล่นได้ทั้ง 2 เท้า เล่นลูกโหม่งได้ดี และสร้างสรรค์เกมที่มีคุณภาพ ซึ่งการเล่นของเขาทำให้เรานึกถึงนักเตะในตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด คนหนึ่งนั่นก็คือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์

ในการเล่นทีมชาติ เขาได้ทำให้ทุกคนประทับใจมาแล้วจากการทำประตู 2 ประตูให้กับทีมชาติเม็กซิโก ในฟุตบอลโลกปี 2010 การทำประตูในทัวนาเมนต์นี้ได้เปิดตัวเขาต่อแฟนฟุตบอลทั่วโลก และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด เร่งคว้าตัวเขามาร่วมทีม

"เราเริ่มทำความรู้จักเขาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2009" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าว

"แมวมองของเราไปที่เม็กซิโก ในเดือนธันวาคม และได้ดูเขาเล่น 2-3 เกม รายงานผลของแมวมองออกมาว่าเขาเล่นได้ดีมาก ในตอนนั้นเราก็คิดว่าเราจะรออีกซักหน่อยเพราะตอนนั้นเขายังเด็กอยู่"

"แต่หลังจากนั้น เขาก็ติดทีมชาติ และผมคิดว่านั่นอาจจะสร้างปัญหาให้เรานิดหน่อย เพราะว่าถ้าเขาได้ร่วมเล่นในฟุตบอลโลก และเล่นได้ดี มันก็อันตรายทีเดียวที่เราอาจจะต้องเสียเขาไปให้กับทีมอื่น"

"ดังนั้น ผมจึงส่งหัวหน้าแมวมองของเรา จิม ลอว์เลอร์ ไปที่เม็กซิโกเป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อดูเขาเล่น รวมทั้งศึกษาข้อมูลของเขาให้มากขึ้น รายงานของจิมเกี่ยวกับตัวเด็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้น เราจึงส่งทนายความของสโมสรไปทำข้อตกลงในการย้ายทีม และเราก็ดีใจมากที่ได้เซ็นสัญญากับเขา"

Wayne Rooney


         
 
              
 
             เวย์น รูนี่ย์ มีชื่อเต็มว่า เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 1985 ที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ และเขาก็เริ่มต้นอาชีพนักเตะด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งสโมสรดังในเมืองลิเวอร์พูล
ด้วยฝีเท้าที่ฉกาจกรรจ์เกินวัย บวกกับพรสวรรค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้ รูนี่ย์ เติบโตขึ้นในวงการลูกหนังได้อย่าง ไม่อยากเย็น โดยตอนที่อายุ 14 ปี เขาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในทีมเยาวชนชุดไม่เกินอายุ 19 ปี แล้ว และสามารถรับมือกับบรรดานักเตะที่อายุมากกว่าได้สบายๆ
ใน วัย 16 ปี เขาก็โดน เดวิด มอยส์ กุนซือของเอฟเวอร์ตัน ดึงตัวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่แล้ว และก็แจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการซัดประตูสุดสวยช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2002 และประตูชัยของรูนี่ย์ ก็หยุดสถิติไม่พ่ายแพ้มานานถึง 30 นัด ของ อาร์เซน่อล ลงไปได้
เท่า นั้นยังไม่พอ รูนี่ย์ ยังมาทำลายสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ ด้วยวัย 17 ปี กับ 111 ในตอนที่เขาลงสนามในนัดที่ อังกฤษ พบกับ ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2003 ทำลายสถิติเดิมของ เจมส์ ปรินเซป ที่ยาวนานมากว่า 124 ปี ลงได้
หลัง จากนั้นอีก 7 เดือน เขาก็กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษได้ เมื่อยิงประตู มาเซโดเนีย ได้สำเร็จ ในการทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 รอบคัดเลือก โดยตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปี กับอีก 317 วัน
โคลิน ฮาร์วี่ย์ อดีตโค้ชของรูนี่ย์ ในทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน เคยกล่าวไว้ว่านามฟุตบอลก็เหมือนสนามเด็กเล่นของรูนี่ย์ เขาสนุกกับมัน และวิงพล่านไปทั่วสนาม ถึงแม้ว่าจะเป็นกองกน้า แต่ก็ลงไปช่วงล้วงบอล แย่งบอลในแผงกองกลางอยู่เสมอ แถมบางทียังโผล่ไปช่วยเกมรับอีกด้วย
รูนี่ ย์ แจ้งเกิดในระดับนานาชาติได้อย่างเต็มตัว ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส เป็นเจ้าภาพ เมื่อเขาเล่นได้อย่างโดดเด่น และทำได้ 4 ประตู พา อังกฤษ ผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ โปรตุเกส และความหวังของ อังกฤษ ก็พังทลายลงเมื่อ รูนี่ย์ ได้รับบาดเจ็บ จนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ อังกฤษ ที่ไร้ รูนี่ย์ ก็แพ้ โปรตุเกส ไปในที่สุด ในการดวลจุดโทษ
หลัง จากที่โด่งดังขึ้นมากับ เอฟเวอร์ตัน ในที่สุด รูนี่ย์ ก็โดนทีมยักษ์ใหญ่ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มเงินถึง 27 ล้านปอนด์ กระชากตัวมาร่วมทีม ซึ่งตอนแรกๆใครๆก็คิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสี่ยงไปไหมในการทุ่มเงินจำนวนดังกล่าว เพื่อนักเตะที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี คนหนึ่ง
แต่ในท้ายที่สุด รูนี่ย์ ก็แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวนนั้น ไม่ได้แพงเกินฝีเท้าของเขาเลย เมื่อเขาทำแฮตทริกได้ทันทีในการลงสนามให้กับ “ปีศาจแดง” ในนัดที่เอาชนะ เฟเนร์บาห์เช่ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนจะจบฤดูกาล 2004/2005 ด้วยการลงสนามไป 29 นัด ทำได้ 11 ประตู ในฐานะของกองหน้าตัวต่ำ และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของอังกฤษ มาครองได้
ใน ฤดูกาล 2005/2006 รูนี่ย์ ก็ยังทำผลงานได้ดี จนพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีก คัพ มาครอง ด้วยการเอาชนะ วีแกน 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ รูนี่ย์ ทำได้ 2 ประตู และนี่ก็คือแชมป์รายการแรกในอาชีพค้าแข้งของเขา
รู นี่ย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่พรสวรรค์สูงที่สุดของอังกฤษ นับตั้งแต่หมด พอล แกสคอยน์ กองกลางอัจฉริยะของพวกเขา แต่กว่า แกซซ่า จะติดทีมชาติก็อายุ 22 ปีแล้ว ขณะที่ รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญของทีม “สิงโตคำราม” ตั้งแต่อายุ 18 ปี
สเวน โกรัน อีริคส์สัน เคยกล่าวยกย่อง รูนี่ย์ ว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของโลก เช่นเดียวกับ เปเล่ ของบราซิล โดยที่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือทีมชาติโปรตุเกส ตอบคำถามนักข่าวที่ถามถึงการเปรียบเทียบกันระหว่าง เปเล่ กับ รูนี่ย์ ว่า “ก็แค่คนหนึ่งผิวดำ ส่วนอีกคนหนึ่งผิวขาว เท่านั้น” จนทำให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางกลุ่ม เรียก รูนี่ย์ ว่า “เอล บลังโก้ เปเล่”
รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพา อังกฤษ ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2006 แม้ว่าเขาจะยิงประตูไม่ได้ แต่ก็ช่วยสร้างสรรค์เกม และจ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมหาจังหวะทำประตูได้
อย่าง ไรก็ตาม รูนี่ย์ กลับพบโชคร้าย เมื่อได้รับบาดเจ็บกระดูกฝ่าเท้าขวาแตก ในการลงสนามนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ เชลซี 0-3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา และคาดว่าเขาจะต้องพักอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือกว่าจะฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามได้ในฟุตบอลโลก ก็ต่อเมื่อจบรอบแรก ไปแล้ว แต่ สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ก็ยังมั่นใจในตัวลูกทีมรายนี้ และใส่ชื่อเขาไปลุย เยอรมัน 2006 แม้ว่าจะโดนวิจารณ์อย่างหนัก นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ รูนี่ย์ ได้เป็นอย่างดี

ประวัติ dimitar berbatov







วันเกิด 30 มกราคม 1981
สถานที่เกิด บลาโกลฟกราด, บัลแกเรีย
ตำแหน่ง ศูนย์หน้า
หมายเลขเสื้อ 9
ย้ายมาร่วมทีม วันที่ 1 กันยายน 2008
ทีมชาติ บัลแกเรีย

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ ศูนย์หน้าตัวเป้า ที่สมบูรณ์แบบ และแสนภาคภูมิ เปี่ยมไปด้วยความสามารถ และสัญชาติญาณการล่าตาข่ายที่ดุดัน เซอร์ อเล็กซ์ยอมรับว่าชื่นชอบนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ อีกทั้งสไตล์การเล่นแบบบัลแกเรียนที่โดนเด่น ใกล้เคียงบุรุษในตำนานอย่าง เอริค คันโตน่า เบอร์บาตอฟจึงได้กลายมาเป็นหนุ่มบัลแกเรียน ชุดแดงขวัญใจแฟนๆ ยูไนเต็ด ในแนวรุกเคียงคู่เวย์น รูนี่ย์, คาร์ลอส เตเบซ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

เบอร์บาตอฟเปิดฉากชีวิตนัก เตะ ด้วยการร่วมทีมซีเอสเคเอ โซเฟีย ยักษ์ใหญ่ของบัลแกเรีย ในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี เจริญรอยตาม อีวาน พ่อของเขา และหลังจากประเดิมนัดเปิดสนามกับทีมยักษ์ใหญ่ ในปี 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี เบอร์บาตอฟ ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ใน 27 นัด ในการลงเล่นในลีก

หลังเปิดฉากการทำประตู ให้กับซีเอสเคเอ พรสวรรค์ และความโดดเด่นของเบอร์บาตอฟ ดึงดูดสายตาของทีมยักษ์ใหญ่อย่าง "ห้างขายยา" ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จากเยอรมันมาคว้าตัวไปรับหน้าที่ศูนย์หน้าล่าตาข่าย ในเดือน ม.ค. 2001 แต่การร่วมทีมกับเลเวอร์คูเซ่น กลับดูเหมือนจะฝืดๆ อืดๆ ในช่วงแรก จนกระทั่งเขาได้สำแดงฤทธิ์เดชสร้างชื่อให้กับตัวเอง ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการโซโล ทำประตูเอาในแมทช์ที่บี้กับลียง และอีกเกมที่สามารถทะลวงตาข่ายของหงส์แดง ลิเวอร์พูล

นอกจากความโดนเด่นในระดับสโมสรแล้ว เบอร์บาตอฟยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ บัลแกเรีย สร้างผลงานจนได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ในปี 2002, 2004 2005 และ 2007

ตัวแดงในสมุดพกของดิมิตาร์ เบอร์มาตอฟ มีแค่ครั้งที่เขาสังกัดอยู่ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งเขี่ยแมนฯ ยูไนเต็ด ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก เดือนเมษายน ปี 2002 โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมนี้

จุดกำเนิดการผันเข้าสู่วงการพรีเมียร์ชิพ ด้วยการเซ็นสัญญามาเป็นพลพรรค "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ด้วยค่าเหนื่อย 10.9 ล้านยูโร ชาวไวท์ฮาร์ท เลน ไม่ผิดหวัง เมื่อเบอร์บาตอฟ เปิดตัวด้วยการซัลโว ในสองนาทีแรก ในศึกครั้งที่เปิดบ้านรับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ต และโชว์ฟอร์มร้อนแรงจัด ซัดไปถึง 23 ประตูในครึ่งฤดูกาลแรกจนได้รับการโหวตเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2007/08 ของไก่เดือยทองอีกด้วย

จนท้ายที่สุด หลังจากที่สับสนเรื่องการย้ายทีม เบอร์บาตอฟ ก็แพ็คกระเป๋าย้ายเข้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลางฤดูร้อน 2008 ด้วยสัญญา 4 ปี นับแต่วันที่ 1 ก.ย. 2008

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์

            


             โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เกิดที่เมือง คริสเตียนซันด์ ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 1973 หลังจากที่เล่นฟุตบอลเป็นงานอดิเรกกับทีม Clausenengen FK ในดิวิชั่น 3 ของนอร์เวย์ เขาก็ย้ายไปเล่นให้กับ Molde ในพรีเมียร์ลีก นอร์เวย์ ปี 1995 และด้วยฟอร์มการเล่นของเขาก็ทำให้เขาติดทีมชาตินอร์เวย์ และใช้เวลาไม่นานเลยที่จะทำให้สโมสรใหญ่ๆ หลายสโมสรในยุโรปสนใจในตัวเขา ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขาเองทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อลัน เชียร์เรอร์ แห่งนอร์เวย์”
ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตกลงใช้บริการเขาด้วยการซื้อตัวจาก Molde 1.5 ล้านปอนด์ และเขาสามารถยิงประตูให้กับทีมได้ครั้งแรกในนัดที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และตั้งแต่นั้นมาก็ดูเหมือนว่าเขาจะยึดตำแหน่งในทีมชุดใหญ่เป็นการถาวรเลยที เดียว ด้วยจำนวน 19 ประตู (18 ประตูในลีก) พร้อมทั้งตำแหน่งดาวซัลโวของทีม และได้เหรียญพรีเมียร์ชิพ คล้องคอเป็นเหรียญแรกของเขาหลังจบฤดูกาล
เขา กลายเป็น "เพชรฆาตหน้าทารก" ที่ได้รับความเชื่อถือและเป็นที่ชื่นชอบของแฟนทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจากฟอร์มการเล่นของเขาตลอดฤดูกาลแรกกับทีมปีศาจแดง นั้น อาจจะทำให้ผู้จัดการทีมเก่าของเขาคิดเสียดายว่าทำไมไม่ขายเขาให้ยูไนเต็ด แพงกว่านี้นะ!
ในช่วงต้นฤดูกาล 1998/99 มีข่าวลือออกมาหนาหูว่า โซลชาร์ อาจจะย้ายออกจากถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เนื่องจากการย้ายมาด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ของ ดไวท์ ยอร์ค แต่อย่างไรก็ดี ครั้งนี้ต้องเครดิตให้กับตัวเขาเองเต็มๆ เมื่อเขาตัดสินใจที่จะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งศูนย์หน้า แม้ว่าหลังจากนี้เขาจะกลายเป็นตัวสำรองของทีมอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ประตูชัยที่เขายิงให้กับทีม ในนัดที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ใน เอฟเอ คัพ รอบที่ 4 และการยิงถึง 4 ประตูในเวลาเพียง 13 นาที ในนัดที่เอาชนะ น็อตตอ้งแฮม ฟอเรสต์ 8 – 1 ใน 2 สัปดาห์ถัดมา ก็ทำให้เขาเป็นที่กล่าวขวัญถึง และได้รับสมญานามจากสื่อในอังกฤษว่า super sub!! (สุดยอดตัวสำรอง)
การยิง 4 ประตูใน 13 นาทีของเขากลายเป็นสถิติใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ แต่อย่างไรก็ดี การลงสนามของเขาก็ยังคงน้อยครั้ง แม้ว่าจะได้เดินลงสนามเป็นหนึ่งใน 11 นักเตะในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ นิวคาสเซิ่ล แต่เขาก็ต้องกลับไปนั่งม้านั่งสำรองอีกในนัดที่พบกับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ แต่ก็เหมือนเป็นลางดีบางอย่าง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาถูกเรียกตัวจากม้านั่งข้างสนาม และเขาก็ได้กลายเป็นผู้ที่นำชัยชนะให้กับทีมในวินาทีสุดท้าย จนทำให้แฟนๆ ต้องร้องเพลง "Who put the ball in the Germans' net......?"
กับ ทีมชาตินอร์เวย์ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีรายชื่อติดทีมชาติเพื่อไปสู้ศึกฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และทีมก็เข้าถึงรอบ 2 ในรายการนี้ กับสโมสรในฤดูกาล 1999/2000 สำหรับเขาก็ไม่แตกต่างจากเดิมด้วยการเป็นตัวสำรองกว่า 50% แต่เขาก็สามารถทำประตูให้กับทีมได้ 15 ประตู ในการลงเล่นเป็นตัวจริง 20 นัดและตัวสำรอง 21 นัด และหลังจากนั้นก็มีข่าวอีกว่า สเปอร์ส และ ลีดส์ สนใจที่จะซื้อตัวเขาไปร่วมทีม แต่ในที่สุดช่วงท้ายฤดูกาลเขาก็ต่อสัญญากับทีม โดยสัญญานี้จะทำให้เขาอยู่กับทีมไปจนกระทั่งอายุครบ 33 ปี
เขา มีชื่อติดทีมชาตินอร์เวย์ ในศึกยูโร 2000 แต่เขาก็ไม่สามารถทำประตูได้ อีกทั้งนอร์เวย์ ก็ไม่สามารถผ่านรอบแรกไปได้ แต่อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเขาก็ได้รับข่าวดีเมื่อภรรยาของเขา Silje ให้กำเนิดลูกชายคนแรกชื่อว่า Noah แม้ว่าเขาจะเล่นในตำแหน่งตัวสำรองมาเสียส่วนใหญ่แต่เขาก็สามารถทำประตูที่ 100 ให้กับทีมได้ ในนัดแรกของฤดูกาล 2002/03 ซึ่งทีมเอาชนะ เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน มาได้ 1 – 0
ตอนนี้เขาเป็นคุณพ่อ ลูกสองแล้ว โดยภรรยาเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ซึ่งเป็นลูกสาว ชื่อว่า Karna ซึ่งเกิดในวันที่ 3 มีนาคม 2003 จนถึงขณะนี้เขาทำประตูให้กับสโมสรไปแล้ว 115 ประตู ถือว่าเป็นสถิติที่ดีทีเดียวสำหรับผู้ที่ลงเล่นในตำแหน่งตัวสำรองเสียเป็น ส่วนใหญ่
ในฤดูกาล 2003/04 หลังจากสามารถยิงประตูแรกในฤดูกาลของตัวเองในนัดที่พบกับ พานาธิไนกอส ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนกันยายนแล้ว เขาก็ต้องพบกับอาการบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขัน และต้องเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง ในครั้งนี้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องพักนานกว่า 5 เดือน นั่นก็หมายความว่าในฤดูกาลนี้เขาได้ลงเล่นเพียง 19 นัดและทำประตูให้กับทีมได้เพียง 1 ประตูเท่านั้น แม้ว่าเขาสามารถกลับมาฝึกซ้อมได้อีกครั้งในช่วงต้นปี 2004 แต่ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้งบริเวณหัวเข่าในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา นั่นก็จะทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามให้กับทีมไปตลอดทั้งฤดูกาล 2004/05

แต่ อย่างไรก็ดี เขาก็ยังคงเป็นที่รักใคร่ของแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ยังคงร้องเพลงกึกก้องให้เขาอยู่เสมอ “Please don't take my Solskjaer away.”
โซลชาร์ อยู่กับทีมมาอีก 3 ฤดูกาล แต่ปัญหาอาการบาดเจ็บเขายังคงรบกวนอยู่ตลอดเวลา หนักถึงขนาดในฤดูกาลที่ 2007/08 ไม่ได้ลงสนามเลยสักนัด ประกอบกับด้วยวัย 34 ปี ซึ่งถือว่ามากพอสมควรแล้ว โซลชาร์ เลยตัดสินใจจบชีวิตการค้าแข้งของตนเอง ในฤดูกาลนี้
ชีวิตปัจจุบัน
ปัจจุบัน โซลชาร์ ยังไม่หนีทีมผีแดงไปไหน เขาได้รับตำแหน่งเป็นโค้ชคุมทีมสำรองของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในขณะนี้

ประวัติ Gary Neville








วันเกิด 18 กุมภาพันธ์ 1975
เมืองเกิด บิวรี่, อังกฤษ
ตำแหน่ง กองหลัง
หมายเลขเสื้อ 2

เด็ก ชายเนวิลล์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1975 ที่บิวรี่ เมื่อเขายังเด็กเขาได้ลงเล่นฟุตบอลให้กับบิวรี่ ตามด้วยเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์ หลังจากนั้น จึงย้ายมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือนกรกฎาคม ปี 1991 และ 18 เดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้เซ็นสัญญาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับทีมในเดือนมกราคม ปี 1993

เขา เป็นหนึ่งในนักเตะชุดเยาวชนในปี 1992 – 1993 ซึ่งนักเตะในทีมชุดนี้หลายต่อหลายคนได้เติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่เก่งและ มีชื่อเสียง และตัวเขาเองก็เช่นกัน เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ให้กับทีมปีศาจแดง นัดแรกในศึกยูฟ่า คัพ ในเดือนกันยายนปี 1992 พบกับตอร์ปีโด มอสโคว์ จนกระทั่งฤดูกาล 1994/95 ที่เขาได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างจริงจัง โดยลงเล่นแทนพอล ปาร์คเกอร์ ในตำแหน่งฟูลแบ็ก ที่มีอาการบาดเจ็บ

เขายังได้ลงเล่นในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศแต่เป็นนัดที่ทีมต้องพ่ายแพ้ และเขายังต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาลนั้น โดยมีคะแนนน้อยกว่าทีมแชมป์เพียง 1 คะแนนเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ในฤดูกาลต่อมาเขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาครอบครอง ทั้งยังได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ปี 1996 ซึ่งทีมเอาชนะลิเวอร์พูล และคว้าแชมป์มาได้ แต่ความสุขของเขาไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เขาได้รับเลือกจากผู้จัดการทีมชาติอังกฤษให้ติดทีมชาติชุด ยูโร 96 ซึ่งในการแข่งขันครั้งนั้น เขาได้ลงเล่นทุกนัด (ยกเว้นนัดที่เขาติดโทษแบน ในรอบ semi-final)

และเมื่อถึงปี 1997 เขาก็ได้เหรียญแชมป์ลีกมาสะสมเพิ่มอีก 1 เหรียญ ในช่วงซัมเมอร์ปี 1998 แกรี่ เนวิลล์ เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส โดยการคุมทีมของเกล็น ฮอดเดิ้ล และเขาได้ลงเล่น 3 นัดจากทั้งหมด 4 นัดของทีมชาติอังกฤษ

ในฤดูกาล 1998/99 เขาได้ลงเล่นเป็นนักเตะตัวหลักของทีมตลอดทั้งฤดูกาล แล้วเขาก็เป็นนักฟุตบอลของทีมคนหนึ่งในชุดที่คว้า 3 แชมป์

ฤดู กาล 1999/2000 ของเขาเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก เมื่อต้องพบกับอาการบาดเจ็บบริเวณขาหนีบ ทำให้ต้องพักจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน และหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บเขาก็กลับมาลงเล่นให้กับทีมได้เกือบทุกนัด จนถึงเดือนเมษายน ซึ่งเขาก็ลงเล่นให้กับทีมไปแล้วทั้งหมด 250 นัด และในฤดูกาลนี้เขาก็ได้สะสมเหรียญแชมป์พรีเมียร์ชิพเพิ่มอีก 1 รวมทั้งหมด 4 เหรียญแล้ว

ในศึกยูโร 2000 เขาก็มีชื่อติดทีมชาติอีกครั้ง และได้ลงเล่นทั้ง 3 นัดของทีมชาติอังกฤษ ก่อนจะกลับไปเล่นให้กับสโมสรและคว้าแชมป์ลีกครั้งที่ 5 ของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้

ในฤดูกาล 2000/01 เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก มากขึ้น เนื่องจากอาการบาดเจ็บช่วงหนึ่งของยาป สตัม และเขาก็ได้เล่นคู่กับเวส บราวน์ และสามารถทำผลงานได้ดีทีเดียว ทำให้สตัม ถึงกับเครียดที่จะต้องแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงกลับมา ทั้งอาการบาดเจ็บและการติดโทษแบนของสตัม เองทำให้ทั้งฤดูกาลตกเป็นของแกรี่

ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2001 แกรี่ได้เซ็นสัญญากับทีมไปอีก 6 ปี ซึ่งสัญญาฉบับนี้จะทำให้ขาอยู่กับทีมไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ปี 2007

เขา เกือบจะได้รับเลือกให้ติดทีมชาติอีกครั้ง ในการคุมทีมของสเวน โกรัน อิริคส์สัน ในชุดที่เล่นในฟุตบอลโลกปี 2002 แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา ทำให้ไม่สามารถร่วมลงแข่งในรายการนี้ได้ โดยการบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นจนถึงวันที่ 18 กันยายน เขาจึงได้มีชื่ออีกครั้งในฐานะตัวสำรองของทีมในการพบกับ มัคคาบี้ ไฮฟา และในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2002 เขาถึงได้กลับมามีชื่อเป็นหนึ่งใน 11 ตัวจริงอีกครั้ง และกลังจากนั้นเขาก็สามารถเล่นให้กับทีมได้อย่างสม่ำเสมอ มีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นกับเขาน้อยมาก ทำให้เขาสามารถลงเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โดยตลอด

ประวัติ paul scholes







เกิด 16/11/1974
เมืองเกิด ซัลฟอร์ด, อังกฤษ
ตำแหน่ง กองกลาง
หมายเลขเสื้อ ฤดูกาล 2004-2005 18

พอล สโคลส์ เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลฝึกหัดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1991 และเป็นนักเตะอาชีพ 18 เดือน หลังจากนั้นในวันที่ 23 มกราคม 1993 ในขณะที่เล่นให้กับทีมเยาวชนเขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมมาก และได้แชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ กับทีมชุดเยาวชนในปี 1993 อีกทั้งเขายังลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี และคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพส์ ในปี 1993 ด้วย

เขาลงเล่นในลีกให้กับสโมสรครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กันยายน 1994 โดยนัดนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ อิปสวิช ทาวน์ และแม้เขาจะสามารถยิงได้ถึง 2 ประตู แต่ผลการแข่งขันก็จบลงที่ ความพ่ายแพ้ของทีม 2 – 3

ในฤดูกาล 1994/95 เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากต้องลงเล่นแทน เอริค คันโตน่า ที่ติดโทษแบน บางนัดก็ลงเล่นแทนตำแหน่งของ มาร์ค ฮิวจ์ส ที่มีอาการบาดเจ็บ อีกทั้งได้ลงเป็นตัวสำรองแทน ลี ชาร์ป ในศึก เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ในฤดูกาลนี้ก็จบลงด้วยการไม่ได้แชมป์ใดๆ เลย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี แต่ในฤดูกาลถัดมา พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปีมาได้ และนั่นก็เป็นแชมป์ใหญ่แชมป์แรกของเขา อีกทั้งการที่ทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก็ทำให้ทั้งเขาและสโมสร ได้ ดับเบิ้ลแชมป์ อีกด้วย

ทางด้านการลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ พอล สโคลส์ ก็สามารถทำประตูได้ในนัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมชาติแบบเต็มๆ และนั่นก็เป็นนัดแรกที่เขาลงเล่นใน เวมบลีย์ ด้วย และเขามีชื่อในทีมชาติชุดที่เล่นในฟุตบอลโลกในปี 1998 รวมทั้งสามารถทำประตูให้ทีมชาติอังกฤษในนัดเปิดสนามที่พบกับ ตูนีเซีย ในเดือนมีนาคม ปี 1999 เขาก็กลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ที่ทำประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในดินแดนอิตาลี โดยเขาทำประตูตีเสมอให้ทีมในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อินเตอร์ มิลาน ที่สนาม ซาน ชิโร่ และหลังจากนั้น ในเดือนเดียวกันนี้เขาก็ยังสามารถทำประตูให้กับทีมชาติอังกฤษ ช่วยให้ทีมเอาชนะ โปแลนด์ 3 – 1 ที่สนาม เวมบลีย์ ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2000

แม้ว่าจะค่อนข้างจะขี้อายและไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมากนัก แต่เขาก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์อย่างภาคภูมิใจว่า “มันเป็นความรู้สึกที่ดียอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เล่นฟุตบอลมาเลย ผมได้ทำประตูที่สำคัญให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก และการที่แฟนๆ ให้กำลังใจผมโดยตลอด นั่นทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ จริงๆ”

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ประกาศว่า เขากับภรรยา แคลร์ กำลังจะได้ลูกคนแรก แต่นิยายเรื่องนี้ก็ไม่จบลงด้วยความสุขเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นเขายังเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่คว้า 3 แชมป์ด้วย แต่สิ่งเดียวที่น่าผิดหวังของเขาก็คือ ในฤดูกาล1998/99 เขาต้องติดโทษแบนและไม่สามารถลงเล่นได้ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ บาร์เซโลน่า ทั้งยังได้รับความอับอายเมื่อเขาเป็นนักฟุตบอลอังกฤษคนแรกที่ถูกไล่ออกใน สนาม เวมบลีย์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในศึก ยูโร 2000 รอบคัดเลือก และจบเกมอย่างน่าผิดหวังด้วยการเสมอกับสวีเดน 0-0

สโคลส์ เริ่มต้นฤดูกาล 1999/2000 ด้วยการเป็นพ่อคน เมื่อ แคลร์ ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกคนแรก อาร์รอน เจค ในช่วงปลายเดือน กรกฎาคม

กับทีมชาติเขาสามารถทำประตูในการพบกับ สกอตแลนด์ ในศึกยูโร 2000 นัด เพลย์-ออฟ ได้และนั่นก็ส่งผลให้เขาได้รับการโหวตโดย England Supporters Club ได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี และในช่วงเดือนมกราคมปี 2000 ที่ทีมต้องไปแข่ง เวิลด์ คลับ แชมเปี้ยนชิพส์ ที่บราซิล เขาก็ไม่สามารถร่วมเดินทางไปกับทีมได้เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้ เลื่อน และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เนื่องจากเขาได้พักและทำให้พลาดลงสนามกับศึกพรีเมียร์ชิพ เพียง 1 นัดเท่านั้น และการกลับมาครั้งนี้ เขาก็สามารถทำประตูได้กับทีมได้ 7 ประตู ตลอดช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล และทีมก็สามารถคว้าแชมป์ที่ 6 ในรอบ 8 ปีได้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล

ปี 2000/2001 ชีวิตในวงการฟุตบอลของเขาก็ยังคงไปได้ดี เขาสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ครั้งที่ 5 ของตนเองได้ด้วยการลงสนาม 44 นัดและทำประตูได้ในลีก 11 ประตู แต่ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้นคือ การทำประตูในระยะ 32 หลาในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ พานาธิไนกอส และเขาก็จบฤดูกาลนี้ด้วยการทำประตูในฟุตบอลยุโรป 15 ประตู ซึ่งมากกว่า เดนิส ลอว์ อยู่ 1 ประตู

ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2001 สโคลส์ และ แคลร์ ก็ประกาศให้สื่อมวลชนทราบว่าพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกคนที่ 2 แล้ว โดยมีชื่อว่า อลิเชีย และในวันที่ 6 กรกฎาคม 2001 เขาก็จรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีม โดยจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ปี 2006 นอกเหนือจากฤดูกาลที่น่าผิดหวังกับสโมสรในปีนี้ เราและเพื่อนๆ อย่าง เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์ และ เวส บราวน์ ก็ได้ร่วมเล่นทีมชาติด้วยกันในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ด้วยมาตรฐานที่สูงของตัวเขาเองทำให้ถูกมองว่าฟอร์มการเล่นในครั้งนี้ไม่ ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก แม้ว่าจริงๆ แล้ว เขาคือผู้เล่นในตำแหน่งแดนกลางที่สำคัญมากในทีมคนหนึ่ง และในขณะนั้นทีมชาติอังกฤษ ก็สามารถเข้าถึงรอบ Quarter-finals ได้แต่ก็ต้องพบกับ บราซิล และตกรอบไปในที่สุด

ประวัติ ryan giggs




 
 
 
 
เกิด29/11/1973
เมืองเกิด คาร์ดิฟฟ์
ตำแหน่ง มิดฟิลด์
หมายเลขเสื้อ  11

ไรอัน กิ๊กส์ ย้ายจาก เวลส์ มาอยู่ที่อังกฤษ ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ในตอนนั้นเขาเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสร ดีน ซึ่งเป็นที่แรกที่เขาได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอล โค้ชของเขาในตอนนั้นคือ เดนิส สโคฟิลด์ ซึ่ง กิ๊กส์ ถูก เดนิส ส่งไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี ในวันเกิดปีที่ 14 ของเขา อเล็กซ์ เฟอร์ผมสัน ได้เดินทางไปที่บ้านของเขาใน สวินตัน เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อติดต่อนักฟุตบอลหนุ่มน้อยผู้นี้ไปร่วมทีม

หลังจากที่ เฟอร์กี้ ได้ฟังคำยืนยันจากหัวหน้าสเกาต์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือนาย เคน บาร์เนส ว่าทางสโมสรจะไม่เซ็นสัญญากับนักเตะผู้นี้ และนั่นก็ทำให้พวกเขาสูญเสียอย่างมหาศาลกับสิ่งที่พวกเขาปล่อยให้หลุดลอยไป ซึ่งกลับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา

ขณะที่ กิ๊กส์ อายุได้ 16 ปี เขาก็ได้เซ็นสัญญาร่วมทีมสมัครเล่น (YTS) และเริ่มเล่นเป็นอาชีพเมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1990 หลังวันเกิดครบรอบ 17 ปี เพียงไม่นาน ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นกัปตันทีม England Schoolboys แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงที่เขาเรียนในอังกฤษเท่านั้น เขาก็ไม่สามารถเล่นให้ทีมชาติอังกฤษได้ เพราะเขาเกิดและเติบโตที่ เวลส์ ทั้งพ่อแม่และญาติพี่น้องก็เป็นคนชาติ เวลส์ ดังนั้นเขาจึงต้องเล่นให้กับทีมชาติ เวลส์ เท่านั้น จะเป็นทีมอื่นไปไม่ได้

การลงเล่นนักแรกในลีกให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1991 เขาต้องลงสนามกับทีมพบกับ เอฟเวอร์ตัน ในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเป็นตัวสำรองและลงเล่นแทน เดนิส ไอร์วิน และการลงเล่นในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมทช์ ครั้งแรกของเขาก็เป็นช่วงท้ายฤดูกาล โดยที่เขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีมได้ และเป็นประตูเดียวที่เขาทำได้ในฤดูกาลนั้น

จากอาการบาดเจ็บของ ลี ชาร์ป ในช่วงต้นฤดูกาล 1991/92 ทำให้ ไรอัน กิ๊กส์ ได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ โดยเล่นในตำแหน่งที่เขาถนัดคือ ปีกซ้าย จากการลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาได้รับแชมป์กับทีมในทุกๆ ถ้วย เช่น ลีก คัพ ในปี ค.ศ. 1992 ลีก แชมเปี้ยนชิพส์ (พรีเมียร์ ลีก) ในปี ค.ศ. 1993, 1994, 1996, 1997, 1999, 2000 และ 2001 เอฟเอ คัพ ในปี ค.ศ. 1994, 1996 และ 1999 และถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี ค.ศ. 1999

กับประสบการณ์ระดับชาติเขากลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่เล่น ให้กับทีมชาติ เวลส์ โดยนัดแรกกับทีมชาติเขาต้องเผชิญหน้ากับ เยอรมนี ด้วยวัย 17 ปี กับ 321 วัน

ไรอัน กิ๊กส์ ทำประตูที่สุดสวยและน่าจดจำให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากมาย และนั่นก็รวมถึงประตูที่เขายิงให้กับทีมในศึก เอฟเอ คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ อาร์เซนอล ที่ วิลล่า พาร์ค ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 ด้วย ในขณะนั้นเป็นช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา และสกอร์ก็เสมอกันอยู่ที่ 1 – 1 หากจบเกมด้วยการเสมอก็จะต้องมีการยิงลูกโทษ แต่ กิ๊กส์ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเลี้ยงบอลตรงไปยังแนวรับของ อาร์เซนอล และลากหลบนักเตะทีมคู่แข่งถึง 4 คน ก่อนสับไกยิงเต็มข้อ เดวิด ซีแมน หมดสิทธิ์เซฟ ลูกพุ่งเข้าตุงตาข่ายอย่างสวยงาม ทำเอานักวิจารณ์หลายต่อหลายคน ยกให้เป็นประตูสุดสวยแห่งศตวรรษเลยทีเดียว ซึ่งชัยชนะในนัดนี้เป็นหนึ่งในสามแชมป์ที่ทีมปีศาจแดงทำได้ในฤดูกาลนี้

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทำให้แฟนบอลต่างก็ส่งเสียงเชียร์เขา พร้อมทั้งแต่งเพลง "Giggs will tear you apart again" เพื่อร้องเชียร์เขาในสนามด้วย

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์ผมสัน พูดถึง ไรอัน กิ๊กส์ ก่อนเริ่มฤดูกาล 2000/01 ว่า “ผมรู้ตั้งแต่นัดแรกที่เขาลงเล่นให้กับทีมเลยว่าเขามีความสามารถ และมีพรสวรรค์ และเขาก็เป็นนักเตะที่พิเศษมากคนหนึ่งตลอดช่วง 10 ปีมานี้ เมื่อใดเขาเล่นได้เต็มที่ตามความสามารถของเขาเอง น้อยคนนักที่จะตามจับเขาได้ น้อยคนที่มีฝีเท้าและการทะลุทุลวงอย่างเขา เมื่อเขาได้จับบอล มันเหมือนกับว่าเขาวิ่งได้โดยไม่มีบอลติดเท้านั่นล่ะ”

“เขาทำให้แนวรับฝั่งตรงข้ามหัวปั่น และนอกจากพรสวรรค์ที่เขามีแล้ว เขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อทีมด้วย”

จากนั้นก็มีข่าวคราวการย้ายทีมของเขามากมาย แต่ข่าวลือทุกข่าวก็จบลงเมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาอยู่กับทีมไปอีก 5 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เขากล่าวว่า “ผมหวังว่าปีที่ดีที่สุดของผมกำลังจะมาถึง ผมอายุ 27 ปีแล้วและอีก 3-4 ปีข้างหน้า อาจเป็นช่วงสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของผม”

10 วันหลังจากนั้น เขาก็ทำประตูให้กับทีมได้ในการแข่งขันกับ โคเวนทรี ซิตี้ ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็เป็นส่วนช่วยในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพ ครั้งที่ 7 ของเขา เขาทำประตูที่ 100 ในกับตัวเขาเองในการเล่นให้ทีมปีศาจแดงในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2002 ในนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอกับเชลซี 2 – 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

ลูกคนแรกของเขากับคู่หมั้น สเตซี่ย์ เป็นลูกผู้หญิง ชื่อ ลิเบอร์ตี้ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2003 แต่ข่าวดี ก็มาเกิดในช่วงที่ไม่ค่อยดีนักในอาชีพของเขา เพราะช่วงปลายฤดูกาลเขามีฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีนัก ตามมาด้วยเสียงโห่ โดยเฉพาะในนัดที่เขาลงเล่น เวอร์ธิงตัน คัพ รอบ semi-final ที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด จากแฟนบอลของเขาเอง ซึ่งนั่นถือเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์จากผู้ที่เคยให้การสนับสนุนเขามาโดย ตลอด สร้างความกดดันให้กับเขามากทีเดียว

ประวัติ David Beckham





ประวัติส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม (David Robert Joseph Beckham)
วันเกิด : 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975
สถานที่เกิด : ลีย์ตันสโตน, ลอนดอน, อังกฤษ
ส่วนสูง : 183 ซ.ม.
น้ำหนัก : 80 ก.ก.
ฉายา : เบ็คส์, โกลเด้นบอลส์, ดีบี7
ตำแหน่ง : กองกลาง
สโมสรปัจจุบัน : ลอสแอนเจลิส แกแลกซี่
หมายเลข : 23

ระดับเยาวชน :
1991-1992 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ระดับอาชีพ :
2007-ปัจจุบัน ลอสแอนเจลิส แกแลกซี่ ลงเล่น 30 นัด ยิง 5 ประตู
2007-2003 รีล มาดริด ลงเล่น 116 นัด ยิง 13 ประตู
1995 เพรสตันนอร์ธเอนด์ (ยืมตัว) ลงเล่น 5 นัด ยิง 2 ประตู
1993-2003 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเล่น 394 นัด ยิง 85 ประตู

ระดับทีมชาติ :
1996-ปัจจุบัน อังกฤษ ลงเล่น 107 นัด ยิง 17 ประตู
1994-1996 อังกฤษ U21 ลงเล่น 9 นัด ยิง - ประตู
 เดวิด เบ็คแฮม เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซีใน ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ของสหรัฐอเมริกา ด้วยค่าตัวประมาณ 50 ล้าน เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาท เบ็คแฮม เป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006

     เบ็คแฮม เป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 107 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 3 และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 รวมทั้งหมด 17 ประตู นอกจากนั้น ยังได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 อีกด้วย

     ชื่อเสียงของ เบ็คแฮม เริ่มโด่งดังขึ้นในเดือนสิงหาคม 1996 ขณะที่เขายังค้าแข้งกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยลูกยิงจากครึ่งสนามเข้าในนัดที่พบกับวิมเบิลดัน เขาติดทีมชาติอังกฤษนัดแรกวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1996 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบกับมอลโดวา ในฤดูกาลนี้เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอซึ่งโหวต โดยผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก

     เมือปี 2002 ความสัมพันธ์ ระหว่าง เบ็คแฮม และ เซอร์ อเล็กเฟอร์กุสัน มีอันต้องจบสิ้นลง ภายหลังหลังเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 หลังการแข่งขันที่แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอล อาร์เซน่อล ในห้องแต่งตัว เฟอร์กูสันได้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนบริเวณเหนือคิ้วของ เบ็คแฮม จนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการย้ายทีม ด้วยการเซ็นสัญญาค้าแข้งกับ รีล มาดริด และ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี่ ในเวลาต่อมา

     ปัจจุบัน เบ็คแฮม แต่งงานกับ วิคตอเรีย อดัมส์ นักร้องสาวของวงสไปซ์ เกิร์ลส ฉายา "พอช สไปส์ " มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ บรุคลิน โจเซฟ เบ็คแฮม, โรมีโอ เจมส์ เบ็คแฮม และ ครูซ เดวิด เบ็คแฮม

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์






 



ชื่อ: เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์
      วันเกิด: 29 ตุลาคม 1970
      เมืองเกิด: ฮอลแลนด์ ,ฟอร์โฮท์
      เคยเล่นฟุตบอลให้กับ: อาแจ็กซ์, ยูเวนตุส ฟูแล่ม
      ทีมชาติ: ฮอลแลนด์
      สโมสรปัจจุบัน: แมนฯ ยูไนเต็ด

     ฟาน เดอร์ ซาร์ เป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งที่มีประสบการณ์สูง มีเหรียญรางวัลมากมายที่การันตีความมีประสบการณ์ของเขา รวมไปถึงการเป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมชาติฮอลแลนด์ อีกเกือบ 100 นัด ความสามารถของเขามีมากมายโดยไม่ต้องสงสัย เขามีความคล่องแคล่วว่องไว รวมทั้งเป็นผู้รักษาประตูที่เซฟลูกกลางอากาศได้ดีมากคนหนึ่งด้วย

 เอ็ดวิน เป็นนักฟุตบอลชาวดัทช์ คนที่หกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจากอาร์โนลด์ มูร์เรน, ไรม่อน ฟาน เดอร์ ฮาว, จอร์ดี้ ครัฟฟ์, ยาป สตัม และ รุด ฟาน นิสเตลรอย

     เขา เติบโตมาในทีมเยาวชนของ อาแจ็กซ์ และเขาก็คว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกของตัวเองกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อทีมของเขาสามารถเอาชนะโตริโน่ ได้ในศึกยูฟ่า คัพ ปี 1991/92

     แชมป์ ยุโรปครั้งที่สองของเขาเกิดขึ้น 3 ปี หลังจากนั้น เมื่อเขามีส่วนช่วยให้ทีมเอาชนะเอซี มิลาน ในปี 1994/95 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ในปีต่อๆ มาเขาก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เมื่อทีมของเขาพ่ายจุดโทษต่อ ยูเวนตุส ในปี 1996
อาชีพค้าแข้งของเขากับ อาแจ็กซ์ ยังทำให้เขาได้คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ รวมทั้งแชมป์ลีกฮอลแลนด์อีก 4 ครั้ง ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่จากอิตาลีอย่าง ยูเวนตุส ในปี 1999 ซึ่งในปีนั้นเองที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ให้ความสนใจที่จะคว้าตัวเขามาแทนที่ ปีเตอร์ ชไมเคิล แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

     หลังจากสองฤดูกาลในตู รินกับยูเวนตุส เขาก็ต้องมองหาทีมใหม่เมื่อ ยูเว่ ได้เซ็นสัญญาซื้อตัว จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน เข้ามา และในตอนนั้นเอง ฌอง ติกาน่า ของฟูแล่ม ก็ไม่รอช้าที่จะคว้าตัวเขาเข้าไปร่วมทีม ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ และ ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็ลงเล่นนัดแรกให้กับฟูแล่ม ในนัดที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2001

     ความ สามารถของเขาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นกับผลงานในทีมชาติ เมื่อเขามีความโดดเด่นในการเล่นให้กับทีมชาติฮอลแลนด์ ช่วยให้ทีมเขาถึงรอบ semi-final ของฟุตบอลโลกในปี 1998 รวมถึงศึกยูโร 2000 และ 2004 ด้วย
และล่าสุดที่ตอกยำได้อย่างชัดเจนว่า เขาคือผู้เล่นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ ผีแดง ผงาดคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีก-ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ ลีก (ฤดูกาล 2007-2008) โดยนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ ลีก ที่เพิ่งจบไป เขาช่วยเซฟลูกยิงจุดโทษของ อเนลก้า ในการดวลลูกจุดโทษหลังจากที่เสมอกัน 1:1 ใน 120 นาที ส่งให้แมนยูผงาดครองแชมป์ ยุโรปเป็นสมัยที่ 3 อย่างยิ่งใหญ่

ประวัติ eric cantona




  






NAME: เอริค แดร์เนียล ปิแอร์ กองโตนา (Éric Daniel Pierre Cantona)
(เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966) ที่เมือง มาร์กเซย์ ประเทศฝรั่งเศส)
เล่น ฟุตบอลอาชีพกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นสโมสรสุดท้าย ซึ่ง คันโตนา ประสบความสำเร็จได้แชมป์พรีเมียร์ลีก ถึง 4 สมัย ภายในเวลา 5 ปี รวมไปถึงการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ ภายในฤดูกาลเดียวกันอีกสองสมัย

หลังจากมาทดสอบฝีเท้ากับสโมสร เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ คันโตนา ก็ได้ย้ายเข้าสู่สโมสร ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คันโตนาพายูงทองเถลิงบัลลังก์แชมป์ดิวิชั่น 1(เดิม)ได้ทันทีในฤดูกาลนั้นเอง (1991-1992)

เดือนพฤศจิกายนปีเดียว กันนั้น คันโตนาก็ย้ายสโมสรอีกครั้งหนึ่ง เข้าสังกัดทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวที่ปีศาจแดงจ่ายให้กับลีดส์เพียงแค่ 1.2 ล้านปอนด์ เท่านั้น ขณะนั้นทีมปีศาจแดงกำลังประสบกับปัญหาปืนฝืด ไม่สามารถทำประตูคู่แข่งได้เนื่องมาจากการที่สโมสรขาย มาร์ค โรบิน และ ดิออน ดับลิน ประสบปัญหาการบาดเจ็บ

อย่างไรก็ตาม คันโตนาปรับตัวเข้ากับสโมสรแห่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเขาสามารถทำประตูและส่งให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็น กำ 2 ฤดูกาลต่อมา ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง คว้าแชมป์ลีกในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993)และ ดับเบิ้ลแชมป์ในปี พ.ศ. 2537(ค.ศ. 1994)ซึ่งคันโตนาทำประตูจากลูกจุดโทษสองประตูถล่ม เชลซี ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ 4-0

คันโตนาก่อเรื่องน่าอายขึ้นในเกมเยือน คริสตัลพาเลซ เดือนมกราคม ฤดูกาลถัดมา(พ.ศ. 2538)(ค.ศ. 1995) เมื่อกระโดดถีบใส่ แมทธิว ซิมม่อนส์ แฟนบอลทีมเจ้าบ้าน หลังจากโดนผู้ตัดสินไล่ออกจากสนาม ในงานแถลงข่าวภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตนา ซึ่งคันโตนาได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะกล่าวว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง...ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโยนลง มาในทะเล" เพียงเท่านี้เขาก็ลุกออกจากห้องไป สร้างความงุนงงให้กับกองทัพนักข่าวทั้งหลาย

คันโตนาถูกศาลชั้นต้น สั่งลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนบทลงโทษให้เป็นทำงานบริการสังคมเป็นเวลา 120 ชั่วโมงแทน นอกจากนี้สมาคมฟุตบอลอังกฤษยังสั่งลงโทษคันโตนาห้ามลงสนามจนกว่าจะถึงเดือน ตุลาคมอีกด้วย มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าคันโตนาอาจจะยุติการค้าแข้งที่อังกฤษหลังจากพ้นโทษแบน แต่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นผู้ที่ชักจูงให้คันโตนาอยู่กับทีมต่อไป

ซึ่งใน ช่วงต้นฤดูกาลนั้นสโมสรได้ขายผู้เล่นสำคัญบางคนออกไปและเลื่อนชั้นนัก เตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาแทน ทำให้ความหวังในการคว้าแชมป์ไม่สู้จะดีนักเช่นเดียวกับในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) คันโตนายิงประตูจากลูกจุดโทษในเกมพบกับ ลิเวอร์พูลได้ในนัดประเดิมสนามหลังจากพ้นโทษ และประตูของเขาก็ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้หลังจากต้องเป็นฝ่ายไล่ตามหลัง 10 คะแนนตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา และเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกัน

หลัง จากคันโตนา ทำประตูชัยได้ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1996/1997 ทำให้คันโตนาได้แชมป์ลีกไปแล้วถึง 6 ครั้งในรอบ 7 ปี ยก เว้นเพียงปีที่เขาโดนแบนเท่านั้น หลังฤดูกาลจบลง คันโตนา ก็สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอล ด้วยการประกาศเลิกเล่น ในขณะที่อายุเพิ่งจะ 30 ปีเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานได้หันเหไปเล่นฟุตบอลชายหาดให้กับทีมชาติฝรั่งเศส โดยเป็นกัปตันทีมด้วย

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ รอย คีน (Roy Keane)





วันเกิด 10 สิงหาคม 1971
สถานที่เกิด Cork, Ireland
สโมสร น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์ชุดใหญ่, แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ ลีก คัพ, แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีพีเอฟเอ, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว


สุดยอดนักเตะฮาร์ดแมนระดับโลก กองกลางที่มีเกมรุกและรับที่โดดเด่น เป็นนักเตะที่เหมือนสัญลักษณ์ของแมนฯยูฯ เป็นจอมห้าวที่มุทะลุดุดันทั้งในและนอกสนาม

เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนในบ้านเกิดกับทีม ร็อคมันท์ ก่อนย้ายมาร่วมสโมสร โคบห์ แรมเบลอร์ ในเซมิ โพรเฟสชันนัล ลีก ที่ไอร์แลนด์

1990-1991
เซ็นสัญญากับ น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์ สมัย ไบร์อัน ครัฟ ค่าตัว 10,000 ปอนด์ ลงเล่นในแผงกองกลาง เป็นดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรก และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม ของบาร์เคลยส์ โดยในฤดูกาลนี้ลงเล่นทั้งสิ้น 35 นัด ยิงได้ 8 ประตู

1991-1992
ยังคงสร้างผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ กับฟอร์เรสต์ โดยลงเล่น 39 นัด ยิงได้ 8 ประตู แต่ก็มีปัญหาตรงที่เขาเป็นนักเตะค่อนข้างเลือดร้อน จากฟอร์มการเล่นกับฟอร์เรสต์เขาจึงถูกเรียกตัวติดทีมชาติ และลงเล่นนัดแรกให้ทีมชาติไอร์แลนด์ เสมอกับ ชิลี 1-1 ที่กรุงดับลิน

มีปัญหาส่วนตัวโดนตำรวจจับหลังไปมีเรื่องในผับ ด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท แต่ก็โดนปล่อยตัวมา

1992-1993
กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งที่โด่งดังมากในขณะนั้น ด้วยผลงานที่ต่อเนื่องยังยิงได้อีก 6 ประตูจาก 40 นัด เป็นกองกลางที่เล่นได้ดีทั้งรุกและรับ เป็นที่ต้องการของสโมสรชั้นนำมากมาย แต่แล้วหวยก็มาออกที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถคว้าตัวเอขาไปร่วมทีม หลังจบฤดูกาลด้วยค่าตัวสถิติในเกาะอังกฤษขณะนั้น 3.75 ล้านปอนด์

แต่ในปีนี้เขายังโดนจับโยนออกจากผับอีกครั้งหลังจากไปทะเลาะกับชาวบ้าน

1993-1994
ลงเล่นเกมแรกให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอ นอริช และได้ลงเล่นเคียงข้างนักเตะกองกลางชั้นยอดอย่างพอล อินซ์ สามารถพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าดับเบิลแชมป์ คือแชมป์ ลีกสูงสุด และ เอฟเอ คัพ ได้ในฤดูกาลแรกที่มาร่วมทีม โดยการคว้าแชมป์ครั้งนี้รอยคีน ได้เป็นแชมป์ร่วมกับดาวรุ่งจากทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่าง ไรอัน กิ๊กส์, เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, พอล สโคล, ลี ชาร์ป, ปีเตอร์ ชไมเคิล และโคตรนักเตะอย่าง สตีฟ บรูซ, แกรี่ พัลลิสเตอร์ และ เอริค คันโตน่า โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นทั้งสิ้น 37 นัด ยิงได้ 5 ประตู

ผลงานในระดับชาติ พาทีมชาติไอร์แลนด์ ผ่านเข้าถึงรอบ 2 ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่อเมริกา โดยลงเล่นทั้ง 4 แมตช์

1994-1995
ปีนี้เขาลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีก 25 นัดในลีก และยิงได้ 2 ประตู ลงเล่นในแชมเปี้ยนลีกอีก 4 นัดยิงได้ 1 ประตู โดยเขามีปัญหาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มที่ และทีมของเขาก็มีผลงานไม่ดีนัก ไม่มีถ้วยรางวัลใด ๆ เลย เพราะเอริค คันโตน่านักเตะคนสำคัญโดนแบนยาวจากการกระโดดถีบแฟนบอลปากเสียของพาเลช ประกอบกับคู่แข่งที่สำคัญที่คว้าแชมป์ลีกไปครองสำเร็จขณะนั้นคือแบล็กเบิร์น โรเวอร์ที่มีอลัน เชียร์เร่อร์เป็นหัวหอก และกุนซือเคนนี่ ดัลกลิชคุมทีมมีผลงานที่สม่ำเสมอเหลือเกิน

เขาโดนใบแดงไล่ออกเป็นเกมแรกในอาชีพค้าแข้งกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อไปเหยียบใส่ แกเร็ธ เซาธ์เกท ในเกมเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกนัดรีเพลย์ ก่อนโดน เอฟเอ สั่งปรับอีก 5 พันปอนด์

1995-1996
โดนใบแดงที่ 2 ในรอบ 3 เดือนของฤดูกาล 1995-96 ในเกมกับ แบล็คเบิร์น เดือนสิงหาคม ตามด้วยเกมเยือน เดอะ โบโร่ เดือน ตุลาคม เขากลายเป็นฮาร์ดแมนประจำทีมอย่างสมบูรณ์ และลงเล่น 29 นัด ทำได้อีก 6 ประตู พาทีมเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้ง และสร้างประวัติศาตร์ คว้าดับเบิลแชมป์อีกสมัย หลังชนะ ลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ แต่ปัญหาของเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นคือการเป็นนักเตะที่อารมณ์ร้อนนั่นเอง

ในทีมชาติเขาโดนไล่ออกในการลงเล่นเกมที่ 30 ให้ทีมชาติไอร์แลนด์ เจอกับ รัสเซีย และเป็นการคุมทีมแมตช์แรกของ มิค แม็คคาร์ธีย์ และปลายฤดูกาลเขาเจอเรื่องไม่ค่อยดีเข้ารายงานตัวทีมชาติช้า เพราะมัวไปพักผ่อนที่อิตาลี เลยชวดติดทีมชาติไป 6 เกมจากการตัดสินใจของมิค แม็คคาร์ธีย์

1996-1997
เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งจากการลงเล่น 21 นัดยิงได้ 2 ประตู แม้จะมีปัญหาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่บ้าง โดยปีนี้เป็นปีที่ คันโตนา กัปตันทีมของเขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง

พลาดจุดโทษให้ทีมชาติไอร์แลนด์เกมกะ โรมาเนีย ก่อนจะรอดตัวอย่างหวุดหวิดกับการโดนเอาโทษ หลังไปมีส่วนร่วมในเหตุวุ่นวายในสนาม

1997-1998
เขาได้รับปลอกแขนกัปตันทีมปิศาจแดง หลังการจากไปของ คันโตนา แบบไม่ทันตั้งตัว โดยเขาสัญญากับแฟนบอลถึงการปรับปรุงการเรื่องการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมนอก สนาม แต่กลับกลายเป็นฤดูกาลที่โชคร้ายสำหรับเขา โดยลงเล่นเพียง 9 นัดและยิงได้ 2 ประตูเท่านั้น ก่อนเจ็บหัวเข่าพักยาวหลังโดน อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ ของลีดส์ เข้าบอลโหดที่ เอลแลนด์ โร้ด ก่อนจะชวดลงเล่นตลอดฤดูกาลหลังยูไนเต็ด ประกาศว่า คีน เอ็นหลังหัวเข่าฉีก

ความประพฤตินอกสนามยังไม่ดีขึ้นนัก เช้าตรู่วันที่ 25 ก.ย. โดนจับคาโรงแรมในสเตรทฟอร์ด หลังเกมเสมอ 2-2 กับเชลซี แต่ก็ไม่มีการแถลงข่าวว่าเพราะเหตุใด และ คีน ไม่ได้โดนปรับแต่อย่างใด ต่อมาโดนข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนบ้านขณะพาหมาไปเดินเล่น

1998-1999
กลับลงมาเล่นเกมพรีซีซัน กับยูไนเต็ด และเกมกระชับมิตรทีมชาติกับนอร์เวย์ พร้อมกับคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง และกล่าวว่าจะออกจาก ยูไนเต็ด ถ้าสัญญาฉบับใหม่ไม่เป็นที่พอใจ ปีนี้ถือเป็นปีทองของเขาและแมนฯยูฯ โดยเขาลงเล่น 29 เกมลีกทำได้ 2 ประตู และ 12 เกมในแชมเปี้ยนลีกยิงได้อีก 3 ประตู พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ก็โดนใบแดงเกมตัดเชือก เอฟเอ คัพ กับอาร์เซนอล ตามด้วยใบเหลืองสะสมที่ 2 ในเกมแชมเปียนส์ ลีก รอบตัดเชือกกับ ยูเวนตุส ส่งผลถึงอดเข้าชิงชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค แต่แมนฯยูฯ ก็ยังเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ โดยคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก

โดยในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีกกับบาเยิร์น มิวนิคเป็นแมตช์แห่งความทรงจำของผู้คนทั่วโลก โดยเวลา 89 นาทีแมนฯยูฯยังตามหลังบาเยิร์นอยู่ 1-0 แมนยูได้เปลี่ยนตัวเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม และโอเล่ กุนน่า โซลชาร์ลงมา แล้วในนาทีที่ 91 เชอร์ริงแฮมก็ยิงตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ แฟนแมนฯยูฯ และนักตะแมนฯยูฯวิ่งดีใจกันทั่วสนาม แต่แล้วในนาทีที่ 93 โซลชาร์ก็ซัดประตูชัยให้กับแมนฯยูฯเอาชนะบาเยิร์นได้สำเร็จ สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลก หลังนกหวีดหมดเวลาก็ปรากฏภาพนักเตะบาเยิร์นล้มลงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิด ขึ้น และภาพนักเตะและกองเชียร์แมนฯยูฯฉลองชัยอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล โดยนักเตะคนสำคัญที่พาแมนฯยูฯ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ร่วมกับเขาครั้งนี้คือ แอนดี้ โคล, ดไวท์ ยอร์ค, เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม, โอเล่ กุนน่า โซลชาร์, เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พี่น้อง เนวิลล์, ยาป สตัม, พอล สโคล, ปีเตอร์ ชไมเคิล

1999-2000
เขากลับมาโชว์ฟอร์มอย่างสุดยอดอีกครั้ง และพาแมนฯยูฯขึ้นเถลิงบัลลังค์แชมป์ลีกอีกครั้งโดยยิงได้ 5 ประตูจาก 29 นัด และลงเล่นในแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดยิงได้ 7 ประตู

ความประพฤตินอกสนามยังไม่ดีขึ้นโดนตำรวจจับอีกรอบหลังหญิงสาวอ้างว่าโดน คีนเตะในบาร์ แต่ก็โดนปล่อยตัวในเวลาต่อมา

2000-2001
เริ่มต้นฤดูกาล ก็ยิงประตู พาทีมคว้าแชมป์ โตโยตา คัพ โดยชนะ พัลไมรัส 1-0 ผีแดงเป็นทีมจากอังกฤษ ทีมแรกที่คว้าแชมป์ อินเตอร์ คอนติเน็นตัล คัพ และต่อสัญญา 4 ปีกับ แมนฯยูฯ ซึ่งเป็นสัญญาฉบับใหม่ชนิดที่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธ และเป็นที่คาดกันว่าเขากลายเป็นนักเตะที่มีรายได้ประจำสัปดาห์สูงที่สุดใน เกาะอังกฤษ เขาลงเล่นในลีก 28 นัดยิงได้ 2 ประตู และ ในแชมเปี้ยนลีกอีก 1 ประตูจาก 13 นัด ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว ก่อนคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพสมัย 6 ใน 8 ปีกับ แมนฯยูฯ

เขาออกมาวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมยูไนเต็ด ว่าอาจจะถึงเวลาขาลงแล้วหลังตกรอบ ควอเตอร์ ไฟนัล เกมแชมเปียนส์ ลีก ที่พ่าย บาเยิร์น มิวนิค และประกาศว่าต้องการแขวนสตั๊ดกับเซลติก

เขาได้สร้างความอัปยศในแวดวงลูกหนังเมื่อโดนไล่ออกหลังจงใจแก้แค้นใส่ อิงเก้ ฮาแลนด์ ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ และทำให้ต่อมา อิงเก้ ฮาแลนด์ ต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปในที่สุด

2001-2002
ปีนี้เขาตกลงเซ็นสัญญาฉบับใหม่อีกครั้ง โดยมีสัญญาถึงปี 2006 โดยลงเล่น 28 นัดในลีกยิงได้อีก 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดกับ 1 ประตู แต่ก็เป็นอีกปีที่แมนฯยูฯ ไม่มีแชมป์ติดมือ

ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เขาโดนส่งกลับบ้านหลังมีปัญหากับผจก. มิค แม็คคาร์ธีย์

เขาออกหนังสืออัตชีวประวัติซึ่งยอมรับไปในตัวว่า จงใจแก้แค้นใส่ ฮาแลนด์ และแฉผจก. ทีมชาติไอร์แลนด์ว่า กุข่าวว่าตัวเองเจ็บ แล้วไม่ส่งลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นผลให้ ฮาแลนด์ ประกาศขอเอาเรื่อง คีน กับการแท็กเกิลโหดที่ทำให้ตัวเขาเองต้องจบอาชีพค้าแข้ง และทำให้คีนโดนเอฟเอสั่งปรับในข้อหาจงใจใช้เกมการแข่งขันแก้แค้นส่วนตัว โดนแบน 5 เกม และปรับ 150,000 ปอนด์

2002-2003
กลับมาเล่นอย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งแม้จะมีปัญหาบาดเจ็บอีกหลายครั้ง เขาลงเล่นเกมลีก 21 เกม เกมแชมเปี้ยนลีก 6 เกม โดยถึงแม้ปีนี้เขาจะยิงประตูไม่ได้เลย แต่ก็พาทีมขึ้นรับถ้วย พรีเมียร์ ลีก และลีกคัพ

ไบร์อัน เคอร์ กุนซือคนใหม่ของไอร์แลนด์ พยายามดึงตัวกลับไปรับใช้ชาติ แต่คีน ก็ประกาศรีไทร์ จากทีมชาติไปแล้ว

2003-2004
เล่นเกมลีกกับแมนฯยูฯอีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 4 เกม แม้ปีนี้แมนฯยูฯ จะไม่ได้แชมป์ลีก แต่ก็พาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลนี้รอย คีนมีปัญหากับแฟนบอลหลังออกมาวิจารณ์แฟนบอลว่าไม่ได้เข้ามาเชียร์บอล แต่เข้ามาเพื่อดูการแสดงโชว์ และทานอาหารในสนามเท่านั้น

ประกาศกลับสู่ทีมชาติ และลงเล่นเกมแรกของการกลับมารับใช้ชาติ ในเกมกระชับมิตร์กับ โรมาเนีย

2004-2005
ลงเล่นอีก 31 เกมลีกยิงได้ 1 ประตู และ 6 เกมในแชมเปี้ยนลีก แต่แมนฯยูฯ ก็ไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ ในปีนี้ และเขาเริ่มมีปัญหากับเซอร์อเล็ก เฟอร์ผมสัน จากนั้นก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมหลังออกวาวิจารณ์ฟอร์มการเล่น ประกาศออกจาก ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาล 2005-06 แต่จะเล่นต่อกับสโมสรอื่นที่ไม่ใช่ในอังกฤษอีกสัก 1-2 ปี

ประกาศรีไทร์จากทีมชาติอีกครั้ง

2005-2006
ลงเล่นเพียงแค่ 5 นัดหลังจากเปิดฤดูกาล และประสบปัญหาบาดเจ็บจึงต้องพักยาว ออกมาวิพากวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมอย่างหนัก และมีข่าวออกมาว่าสโมสรจะไม่ต่อสัญญาและจัดเทสติโมเนี่ยลแมตช์ สุดยิ่งใหญ่ให้

ในที่สุดรอย คีนก็โบกมือลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบจากกันด้วยดี หลังจากอยู่รับใช้สโมสรมา 12 ปี

ประวัตินักฟุตบอล

ประวัติ จอร์จ เบสต์ (George Best)






วันเกิด 22 พฤษภาคม 1946
สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์
สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สต๊อคพอร์ท, คร๊อค เซลติก, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟูแล่ม, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, ฮิเบอร์เนียน, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, บอร์นมัธ, บริสเบน ไลออน
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์, แชมป์ดิวิชั่น1(แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ), นักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป

       เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการมาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1961 โดยเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลงเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งในสมัยนั้นผู้เล่นตำแหน่งปีกจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากสำหรับทีม

ในปี 1963 ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่นัดแรกในเกมพบฟูแล่ม ด้วยวัย 17 ปี ในเดือนกันยายน และหลังจากเล่นให้แมนฯ ยูฯ ได้เพียง 15 เกมก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ

เป็นนักเตะที่พาทีมแมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ในฤดูกาล 1964-1965 และ 1966-1967 (แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ)

ในปี 1968 พาทีมแมนยูขึ้นเถลิงบรรลังค์แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพภายใต้การคุมทีมของเซอร์ แมทต์ บัสบี้ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า โดย ในเวลาปกติเสมออยู่ 1-1 และต่อเวลาพิเศษ แมนยูยิงได้อีก 3 ลูก โดยจอร์จ เบสต์เป็นผู้ทำประตูด้วย ในนาทีที่ 93 นับเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาอย่างมาก

ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1968

จอร์จ เบสต์ เคยสร้างสถิติยิงประตูในนัดเดียวมากที่สุดถึง 6 ประตู ในการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ 8-2 ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5

ในปี 1972 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่แล้วในปี 1973 ก็กลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นเพลย์บอยของเขาทำให้ในที่สุดแมนฯ ยูฯก็ตัดสินใจขายเขาทิ้งในปี 1974

ตั้งแต่ปี 1975-1980 เขาแต่งงานกับนางแบบสาว แองเจลล่า แมคโดนัลด์ เจมส์ และย้ายออกจากแมนฯ ยูฯ ไปค้าแข้งกับทีมเล็ก ๆ อีกหลายทีม และไปแขวนสตั๊ดอีกครั้ง ในเมเจอร์ลีกของ อเมริกา ชื่อ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์

แต่แล้วในปี 1983 เขาก็หวนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีม บอร์นมัธ แต่ลงเล่นอีกไม่นาน เขาก็ย้ายไปเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บริสเบน ไลออน และ ตัดสินใจ แขวนสตั๊ดถาวรในปี 1984 ด้วยวัย 38 ปี

ส่วนหนึ่งที่เบสต์ ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลายครั้ง เนื่องจากหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวกลางคืน และหลงอยู่ในแสงสีของวงการบันเทิง แต่ถึงแม้จะยุติชีวิตนักเตะ เบสต์ก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอล โดยทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ของสำนักข่าวให้กับสกายสปอร์ต

ในปี 1984 ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 สัปดาห์ในข้อหาเมาแล้วขับรวมถึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกภรรยาแองเจลล่า ฟ้องหย่า หลังจากมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ คาลัม

ในปี 1995 แต่งงานอีกครั้งกับ อเล็ก เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นแอร์ โฮสเตส สาวสวย ซึ่งต่อมาภายหลังก็ต้องแยกทางกัน เพราะภรรรยาของเขาทนไม่ไหว กับการที่ เบสต์ กลับไปดื่มเหล้าจัด และมีคดีความมากมาย ทั้งเมาสุราอาละวาด เมาแล้วขับ และทะเลาะวิวาท

ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ Hall of Fame หรือหอเกียรติยศของ FIFA ในปี 2004

ด้วยความเป็นนักดื่มตัวยงที่สุดผลร้ายก็ย้อนคืนสู่สุขภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2000 เบสต์ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จนกระทั่งต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในปี 2002 และถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของมึนเมาอีกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อฟังแอบดื่ม เรื่อยมา

ในช่วง 2-3 ปีหลังสุขภาพของเบสต์ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้เข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุด เบสต์ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม48 ที่โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน แต่ในที่สุดคณะแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต เบสต์ เอาไว้ได้เขาจากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ และผลกระทบจากโรคไต

จบชีวิตปิดฉากตำนานเทพบุตรมหาภัย ด้วย วัย 59 ปี ในวันที่ 25 พฤศจิการยน 2005

สรุปเส้นทางการค้าแข้ง
1963-74 : อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ลงเล่น 465 เกม ยิง 180 ประตู)
1975 : อยู่กับ สต๊อคพอร์ท (ลงเล่น 3 เกม ยิง 2 ประตู)
1975-76 : คร๊อค เซลติก (ลงเล่น 3 ยิงไม่ได้เลย)
1976 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 24 เกม ยิง 15 ประตู)
1976-77 : ฟูแล่ม (ลงเล่น 47 เกม ยิง 10 ประตู)
1977-78 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 37 เกม ยิง 14 ประตู)
1979 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (14 เกม ยิง 5 ประตู)
1979-80 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (30 เกม ยิง 13 ประตู)
1979-80 : ฮิเบอร์เนียน (22 เกม ยิง 3 ประตู)
1980 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (19 เกม ยิง 2 ประตู)
1981 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (26 เกม ยิง 8 ประตู)
1983 : บอร์นมัธ (5 เกม ยิง 0)
1984 : บริสเบน ไลออน (4 เกม ยิง 0)