วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ประวัติ รอย คีน (Roy Keane)





วันเกิด 10 สิงหาคม 1971
สถานที่เกิด Cork, Ireland
สโมสร น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์ชุดใหญ่, แชมป์พรีเมียร์ชิพ, แชมป์เอฟเอคัพ, แชมป์ ลีก คัพ, แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีพีเอฟเอ, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว


สุดยอดนักเตะฮาร์ดแมนระดับโลก กองกลางที่มีเกมรุกและรับที่โดดเด่น เป็นนักเตะที่เหมือนสัญลักษณ์ของแมนฯยูฯ เป็นจอมห้าวที่มุทะลุดุดันทั้งในและนอกสนาม

เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนในบ้านเกิดกับทีม ร็อคมันท์ ก่อนย้ายมาร่วมสโมสร โคบห์ แรมเบลอร์ ในเซมิ โพรเฟสชันนัล ลีก ที่ไอร์แลนด์

1990-1991
เซ็นสัญญากับ น็อตติงแฮม ฟอร์เรสต์ สมัย ไบร์อัน ครัฟ ค่าตัว 10,000 ปอนด์ ลงเล่นในแผงกองกลาง เป็นดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรก และคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม ของบาร์เคลยส์ โดยในฤดูกาลนี้ลงเล่นทั้งสิ้น 35 นัด ยิงได้ 8 ประตู

1991-1992
ยังคงสร้างผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ กับฟอร์เรสต์ โดยลงเล่น 39 นัด ยิงได้ 8 ประตู แต่ก็มีปัญหาตรงที่เขาเป็นนักเตะค่อนข้างเลือดร้อน จากฟอร์มการเล่นกับฟอร์เรสต์เขาจึงถูกเรียกตัวติดทีมชาติ และลงเล่นนัดแรกให้ทีมชาติไอร์แลนด์ เสมอกับ ชิลี 1-1 ที่กรุงดับลิน

มีปัญหาส่วนตัวโดนตำรวจจับหลังไปมีเรื่องในผับ ด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท แต่ก็โดนปล่อยตัวมา

1992-1993
กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งที่โด่งดังมากในขณะนั้น ด้วยผลงานที่ต่อเนื่องยังยิงได้อีก 6 ประตูจาก 40 นัด เป็นกองกลางที่เล่นได้ดีทั้งรุกและรับ เป็นที่ต้องการของสโมสรชั้นนำมากมาย แต่แล้วหวยก็มาออกที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถคว้าตัวเอขาไปร่วมทีม หลังจบฤดูกาลด้วยค่าตัวสถิติในเกาะอังกฤษขณะนั้น 3.75 ล้านปอนด์

แต่ในปีนี้เขายังโดนจับโยนออกจากผับอีกครั้งหลังจากไปทะเลาะกับชาวบ้าน

1993-1994
ลงเล่นเกมแรกให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอ นอริช และได้ลงเล่นเคียงข้างนักเตะกองกลางชั้นยอดอย่างพอล อินซ์ สามารถพาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าดับเบิลแชมป์ คือแชมป์ ลีกสูงสุด และ เอฟเอ คัพ ได้ในฤดูกาลแรกที่มาร่วมทีม โดยการคว้าแชมป์ครั้งนี้รอยคีน ได้เป็นแชมป์ร่วมกับดาวรุ่งจากทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่าง ไรอัน กิ๊กส์, เดวิด เบ็คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, พอล สโคล, ลี ชาร์ป, ปีเตอร์ ชไมเคิล และโคตรนักเตะอย่าง สตีฟ บรูซ, แกรี่ พัลลิสเตอร์ และ เอริค คันโตน่า โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นทั้งสิ้น 37 นัด ยิงได้ 5 ประตู

ผลงานในระดับชาติ พาทีมชาติไอร์แลนด์ ผ่านเข้าถึงรอบ 2 ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่อเมริกา โดยลงเล่นทั้ง 4 แมตช์

1994-1995
ปีนี้เขาลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีก 25 นัดในลีก และยิงได้ 2 ประตู ลงเล่นในแชมเปี้ยนลีกอีก 4 นัดยิงได้ 1 ประตู โดยเขามีปัญหาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มที่ และทีมของเขาก็มีผลงานไม่ดีนัก ไม่มีถ้วยรางวัลใด ๆ เลย เพราะเอริค คันโตน่านักเตะคนสำคัญโดนแบนยาวจากการกระโดดถีบแฟนบอลปากเสียของพาเลช ประกอบกับคู่แข่งที่สำคัญที่คว้าแชมป์ลีกไปครองสำเร็จขณะนั้นคือแบล็กเบิร์น โรเวอร์ที่มีอลัน เชียร์เร่อร์เป็นหัวหอก และกุนซือเคนนี่ ดัลกลิชคุมทีมมีผลงานที่สม่ำเสมอเหลือเกิน

เขาโดนใบแดงไล่ออกเป็นเกมแรกในอาชีพค้าแข้งกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อไปเหยียบใส่ แกเร็ธ เซาธ์เกท ในเกมเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกนัดรีเพลย์ ก่อนโดน เอฟเอ สั่งปรับอีก 5 พันปอนด์

1995-1996
โดนใบแดงที่ 2 ในรอบ 3 เดือนของฤดูกาล 1995-96 ในเกมกับ แบล็คเบิร์น เดือนสิงหาคม ตามด้วยเกมเยือน เดอะ โบโร่ เดือน ตุลาคม เขากลายเป็นฮาร์ดแมนประจำทีมอย่างสมบูรณ์ และลงเล่น 29 นัด ทำได้อีก 6 ประตู พาทีมเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้ง และสร้างประวัติศาตร์ คว้าดับเบิลแชมป์อีกสมัย หลังชนะ ลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ แต่ปัญหาของเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นคือการเป็นนักเตะที่อารมณ์ร้อนนั่นเอง

ในทีมชาติเขาโดนไล่ออกในการลงเล่นเกมที่ 30 ให้ทีมชาติไอร์แลนด์ เจอกับ รัสเซีย และเป็นการคุมทีมแมตช์แรกของ มิค แม็คคาร์ธีย์ และปลายฤดูกาลเขาเจอเรื่องไม่ค่อยดีเข้ารายงานตัวทีมชาติช้า เพราะมัวไปพักผ่อนที่อิตาลี เลยชวดติดทีมชาติไป 6 เกมจากการตัดสินใจของมิค แม็คคาร์ธีย์

1996-1997
เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งจากการลงเล่น 21 นัดยิงได้ 2 ประตู แม้จะมีปัญหาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่บ้าง โดยปีนี้เป็นปีที่ คันโตนา กัปตันทีมของเขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง

พลาดจุดโทษให้ทีมชาติไอร์แลนด์เกมกะ โรมาเนีย ก่อนจะรอดตัวอย่างหวุดหวิดกับการโดนเอาโทษ หลังไปมีส่วนร่วมในเหตุวุ่นวายในสนาม

1997-1998
เขาได้รับปลอกแขนกัปตันทีมปิศาจแดง หลังการจากไปของ คันโตนา แบบไม่ทันตั้งตัว โดยเขาสัญญากับแฟนบอลถึงการปรับปรุงการเรื่องการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมนอก สนาม แต่กลับกลายเป็นฤดูกาลที่โชคร้ายสำหรับเขา โดยลงเล่นเพียง 9 นัดและยิงได้ 2 ประตูเท่านั้น ก่อนเจ็บหัวเข่าพักยาวหลังโดน อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ ของลีดส์ เข้าบอลโหดที่ เอลแลนด์ โร้ด ก่อนจะชวดลงเล่นตลอดฤดูกาลหลังยูไนเต็ด ประกาศว่า คีน เอ็นหลังหัวเข่าฉีก

ความประพฤตินอกสนามยังไม่ดีขึ้นนัก เช้าตรู่วันที่ 25 ก.ย. โดนจับคาโรงแรมในสเตรทฟอร์ด หลังเกมเสมอ 2-2 กับเชลซี แต่ก็ไม่มีการแถลงข่าวว่าเพราะเหตุใด และ คีน ไม่ได้โดนปรับแต่อย่างใด ต่อมาโดนข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนบ้านขณะพาหมาไปเดินเล่น

1998-1999
กลับลงมาเล่นเกมพรีซีซัน กับยูไนเต็ด และเกมกระชับมิตรทีมชาติกับนอร์เวย์ พร้อมกับคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง และกล่าวว่าจะออกจาก ยูไนเต็ด ถ้าสัญญาฉบับใหม่ไม่เป็นที่พอใจ ปีนี้ถือเป็นปีทองของเขาและแมนฯยูฯ โดยเขาลงเล่น 29 เกมลีกทำได้ 2 ประตู และ 12 เกมในแชมเปี้ยนลีกยิงได้อีก 3 ประตู พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ก็โดนใบแดงเกมตัดเชือก เอฟเอ คัพ กับอาร์เซนอล ตามด้วยใบเหลืองสะสมที่ 2 ในเกมแชมเปียนส์ ลีก รอบตัดเชือกกับ ยูเวนตุส ส่งผลถึงอดเข้าชิงชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค แต่แมนฯยูฯ ก็ยังเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ โดยคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก

โดยในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีกกับบาเยิร์น มิวนิคเป็นแมตช์แห่งความทรงจำของผู้คนทั่วโลก โดยเวลา 89 นาทีแมนฯยูฯยังตามหลังบาเยิร์นอยู่ 1-0 แมนยูได้เปลี่ยนตัวเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม และโอเล่ กุนน่า โซลชาร์ลงมา แล้วในนาทีที่ 91 เชอร์ริงแฮมก็ยิงตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ แฟนแมนฯยูฯ และนักตะแมนฯยูฯวิ่งดีใจกันทั่วสนาม แต่แล้วในนาทีที่ 93 โซลชาร์ก็ซัดประตูชัยให้กับแมนฯยูฯเอาชนะบาเยิร์นได้สำเร็จ สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งโลก หลังนกหวีดหมดเวลาก็ปรากฏภาพนักเตะบาเยิร์นล้มลงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิด ขึ้น และภาพนักเตะและกองเชียร์แมนฯยูฯฉลองชัยอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล โดยนักเตะคนสำคัญที่พาแมนฯยูฯ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ร่วมกับเขาครั้งนี้คือ แอนดี้ โคล, ดไวท์ ยอร์ค, เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม, โอเล่ กุนน่า โซลชาร์, เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พี่น้อง เนวิลล์, ยาป สตัม, พอล สโคล, ปีเตอร์ ชไมเคิล

1999-2000
เขากลับมาโชว์ฟอร์มอย่างสุดยอดอีกครั้ง และพาแมนฯยูฯขึ้นเถลิงบัลลังค์แชมป์ลีกอีกครั้งโดยยิงได้ 5 ประตูจาก 29 นัด และลงเล่นในแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดยิงได้ 7 ประตู

ความประพฤตินอกสนามยังไม่ดีขึ้นโดนตำรวจจับอีกรอบหลังหญิงสาวอ้างว่าโดน คีนเตะในบาร์ แต่ก็โดนปล่อยตัวในเวลาต่อมา

2000-2001
เริ่มต้นฤดูกาล ก็ยิงประตู พาทีมคว้าแชมป์ โตโยตา คัพ โดยชนะ พัลไมรัส 1-0 ผีแดงเป็นทีมจากอังกฤษ ทีมแรกที่คว้าแชมป์ อินเตอร์ คอนติเน็นตัล คัพ และต่อสัญญา 4 ปีกับ แมนฯยูฯ ซึ่งเป็นสัญญาฉบับใหม่ชนิดที่ไม่มีใครกล้าปฎิเสธ และเป็นที่คาดกันว่าเขากลายเป็นนักเตะที่มีรายได้ประจำสัปดาห์สูงที่สุดใน เกาะอังกฤษ เขาลงเล่นในลีก 28 นัดยิงได้ 2 ประตู และ ในแชมเปี้ยนลีกอีก 1 ประตูจาก 13 นัด ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมนักข่าว ก่อนคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพสมัย 6 ใน 8 ปีกับ แมนฯยูฯ

เขาออกมาวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมยูไนเต็ด ว่าอาจจะถึงเวลาขาลงแล้วหลังตกรอบ ควอเตอร์ ไฟนัล เกมแชมเปียนส์ ลีก ที่พ่าย บาเยิร์น มิวนิค และประกาศว่าต้องการแขวนสตั๊ดกับเซลติก

เขาได้สร้างความอัปยศในแวดวงลูกหนังเมื่อโดนไล่ออกหลังจงใจแก้แค้นใส่ อิงเก้ ฮาแลนด์ ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ และทำให้ต่อมา อิงเก้ ฮาแลนด์ ต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปในที่สุด

2001-2002
ปีนี้เขาตกลงเซ็นสัญญาฉบับใหม่อีกครั้ง โดยมีสัญญาถึงปี 2006 โดยลงเล่น 28 นัดในลีกยิงได้อีก 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 12 นัดกับ 1 ประตู แต่ก็เป็นอีกปีที่แมนฯยูฯ ไม่มีแชมป์ติดมือ

ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เขาโดนส่งกลับบ้านหลังมีปัญหากับผจก. มิค แม็คคาร์ธีย์

เขาออกหนังสืออัตชีวประวัติซึ่งยอมรับไปในตัวว่า จงใจแก้แค้นใส่ ฮาแลนด์ และแฉผจก. ทีมชาติไอร์แลนด์ว่า กุข่าวว่าตัวเองเจ็บ แล้วไม่ส่งลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นผลให้ ฮาแลนด์ ประกาศขอเอาเรื่อง คีน กับการแท็กเกิลโหดที่ทำให้ตัวเขาเองต้องจบอาชีพค้าแข้ง และทำให้คีนโดนเอฟเอสั่งปรับในข้อหาจงใจใช้เกมการแข่งขันแก้แค้นส่วนตัว โดนแบน 5 เกม และปรับ 150,000 ปอนด์

2002-2003
กลับมาเล่นอย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งแม้จะมีปัญหาบาดเจ็บอีกหลายครั้ง เขาลงเล่นเกมลีก 21 เกม เกมแชมเปี้ยนลีก 6 เกม โดยถึงแม้ปีนี้เขาจะยิงประตูไม่ได้เลย แต่ก็พาทีมขึ้นรับถ้วย พรีเมียร์ ลีก และลีกคัพ

ไบร์อัน เคอร์ กุนซือคนใหม่ของไอร์แลนด์ พยายามดึงตัวกลับไปรับใช้ชาติ แต่คีน ก็ประกาศรีไทร์ จากทีมชาติไปแล้ว

2003-2004
เล่นเกมลีกกับแมนฯยูฯอีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และในแชมเปี้ยนลีกอีก 4 เกม แม้ปีนี้แมนฯยูฯ จะไม่ได้แชมป์ลีก แต่ก็พาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพได้สำเร็จ โดยในฤดูกาลนี้รอย คีนมีปัญหากับแฟนบอลหลังออกมาวิจารณ์แฟนบอลว่าไม่ได้เข้ามาเชียร์บอล แต่เข้ามาเพื่อดูการแสดงโชว์ และทานอาหารในสนามเท่านั้น

ประกาศกลับสู่ทีมชาติ และลงเล่นเกมแรกของการกลับมารับใช้ชาติ ในเกมกระชับมิตร์กับ โรมาเนีย

2004-2005
ลงเล่นอีก 31 เกมลีกยิงได้ 1 ประตู และ 6 เกมในแชมเปี้ยนลีก แต่แมนฯยูฯ ก็ไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ ในปีนี้ และเขาเริ่มมีปัญหากับเซอร์อเล็ก เฟอร์ผมสัน จากนั้นก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีมหลังออกวาวิจารณ์ฟอร์มการเล่น ประกาศออกจาก ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาล 2005-06 แต่จะเล่นต่อกับสโมสรอื่นที่ไม่ใช่ในอังกฤษอีกสัก 1-2 ปี

ประกาศรีไทร์จากทีมชาติอีกครั้ง

2005-2006
ลงเล่นเพียงแค่ 5 นัดหลังจากเปิดฤดูกาล และประสบปัญหาบาดเจ็บจึงต้องพักยาว ออกมาวิพากวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมอย่างหนัก และมีข่าวออกมาว่าสโมสรจะไม่ต่อสัญญาและจัดเทสติโมเนี่ยลแมตช์ สุดยิ่งใหญ่ให้

ในที่สุดรอย คีนก็โบกมือลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบจากกันด้วยดี หลังจากอยู่รับใช้สโมสรมา 12 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น